3 เทคนิค เลี้ยงลูก อย่างไรให้ฉลาดทางอารมณ์ EQ

3 เทคนิค เลี้ยงลูก อย่างไรให้ฉลาดทางอารมณ์ EQ 

การ เลี้ยงลูก เป็นเหมือนศาสตร์การเรียนรู้ที่ไม่มีจุดจบ เพราะนอกจากจะต้องใช้ทักษะที่หลากหลายแล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังต้องปรับวิธีการเลี้ยงลูกไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 

ดังนั้นการ เลี้ยงลูก ให้เติบโตไปอย่างมีคุณภาพจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของคุณพ่อคุณแม่ สำหรับเทคนิคการเลี้ยงลูกวันนี้ BrainFit ขอเสนอ 3 เทคนิคที่จะช่วยให้ลูกมีความฉลาดทางด้านอารมณ์ ทักษะ EQ แข็งแรง สามารถรับมือ จัดการกับอารมณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น 

1. สร้างสภาพแวดล้อมแห่งความสุข

สภาพแวดล้อมของครอบครัว เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อทักษะด้านอารมณ์ของลูก เพราะลูกจะเรียนรู้และซึมซับและเลียนแบบพฤติกรรมจากครอบครัว หรือสภาพแวดล้อมที่เขาใช้เวลาด้วยนั่นเอง 

เช่น เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่คนในบ้านเป็นคนใจร้อน เวลาโกรธหรือโมโหมักจะตะโกนเสียงดัง แน่นอนว่าลูกก็มีแนวโน้มที่จะเลียนแบบพฤติกรรมเช่นนั้นตาม

ดังนั้นการเลี้ยงลูกด้วยความรักและความอบอุ่น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางภาษากาย เช่น การกอด การหอม การจุ๊บแก้ม หรือภาษาพูด เช่น การบอกรัก การชื่นชม การพูดด้วยถ้อยคำที่น่าฟัง และสมาชิกในครอบครัวสามารถจัดการอารมณ์ได้ดีไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด

สภาพแวดล้อมแห่งความสุขเช่นนี้จึงส่งผลให้ลูกมีทักษะด้านความมั่นคงทางอารมณ์มากยิ่งขึ้นนั่นเอง 

 

2. ฝึกรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ

อีกเทคนิคที่สำคัญและสามารถใช้ได้ดีมาโดยตลอดคือ การรับฟังที่ไม่ใช่การฟังธรรมดา แต่เป็นการฟังอย่างตั้งใจ ฟังเพื่อคิดถึงหัวใจของลูก และฟังเพื่อเข้าใจความรู้สึกของลูก การฟังอย่างเข้าอกเข้าใจจะช่วยเรื่องการรับมือกับทักษะด้านอารมณ์ของลูกได้ดีขึ้น เมื่อลูกเล่าถึงความรู้สึก ความผิดหวัง ความผิดพลาด 

ตัวอย่างสถานการณ์ เมื่อลูกวิ่งไปชนโต๊ะจนแก้วตกลงมาแตก

หากเราโมโหจนไม่ทันได้ถามลูก แน่นอนว่าภาพที่เกิดขึ้นคือเราจะดุและต่อว่าที่ลูกระวัง ความรู้สึกผิดที่ลูกมีอยู่นั้นก็จะยิ่งเพิ่มพูน ส่งผลให้ลูกยิ่งอ่อนไหว จัดการอารมณ์ไม่ได้ หรืออาจจะทะเลาะกันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่

 

"เลี้ยงลูก"

 

แต่หากเราสามารถจัดการตัวเองให้ใจเย็น ถามและรับฟังลูกอย่างตั้งใจ ปล่อยให้ลูกได้มีโอกาสเล่าว่าแก้วใบนี้แตกได้อย่างไร หรือเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ นอกจากสถานการณ์จะไม่บานปลายแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ลูกได้สงบสติอารมณ์ ฝึกการคิดการจัดลำดับเหตุการณ์ รวมถึงทักษะการแก้ไขปัญหา

เริ่มจากการพูดกับลูกอย่างใจเย็น พยายามไม่ดุ หรือต่อว่ากับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะลูกเองก็กำลังตกใจกลัว ดังนั้นพยายามควบคุมอารมณ์ของเราให้นิ่งเข้าไว้ ค่อย ๆ ถามไถ่ลูกอย่างใจเย็น.

 

“แก้วแตกไปแล้วไปเป็นไรลูก แล้วลูกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“ไหนลูกเล่าให้ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

 

หากลูกร้องไห้ เราอาจจะกอดหรือปลอบลูกให้อารมณ์เขาสงบนิ่งก่อน เมื่อลูกใจเย็นลงแล้ว รับฟังเรื่องทุกอย่างที่เขาเล่าอย่างตั้งใจ พยายามเข้าใจความรู้สึกของลูกให้ได้มากที่สุด

 

“ขอบคุณนะลูกที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พ่อ/แม่เข้าใจนะว่าหนูไม่ได้ตั้งใจ เพราะหนูรีบวิ่งมาใช่ไหมเลยไม่ทันมอง

อย่างงั้นเดี๋ยวเรามาช่วยกันกวาดเศษแก้วกันดีไหมลูก”

 

เมื่อลูกใจเย็นลงแล้ว พยายามชื่นชมหรือขอบคุณในความกล้าหาญที่ลูกกล้าที่จะเล่าเรื่องความผิดพลาดของตัวเอง ครั้งต่อไปหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก แน่นอนว่าลูกจะกล้าเปิดใจและพูดคุยกับเรามากขึ้น เพราะลูกต้องการคนที่พร้อมจะรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของเขา คนที่จะปลอบประโลมให้หัวใจดวงน้อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง

 

“ขอบคุณนะลูกที่เล่าเรื่องนี้ให้พ่อ/แม่ฟัง เราจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา”

“แล้วหนูคิดว่าจะมีวิธีไหนบ้าง ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้แก้วของเราแตกอีก”

“เยี่ยมเลยลูก ต่อไปเรามาระวังให้มากขึ้นกันดีกว่า ตัวหนูเองก็จะได้ไม่บาดเจ็บด้วย”

 

3. ใช้เวลาคุณภาพกับลูก Quality time

การทำกิจกรรมร่วมกับลูกไม่ว่าจะเป็น เล่นกีฬา วาดรูประบายสี ประดิษฐ์สิ่งของ ผจญภัยในสวนหลังบ้าน เล่นบอร์ดเกม เล่นดนตรี ร้องเพลง หรืออ่านหนังสือนิทาน 

เพราะการใช้เวลาคุณภาพร่วมกันกับลูกเช่นนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่จะสามารถสร้างความทรงจำ ความประทับใจ และต่อยอดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีให้กับลูก อีกทั้งยังช่วยพัฒนาทั้งทักษะสมองส่วนต่าง ๆ ทั้งความยืดหยุ่นทางด้านอารมณ์ ทักษะการเข้าสังคม พัฒนาสมาธิ ฝึกคิดแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เสริมสร้างจินตนาการ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ฝึกความแข็งแรงของร่างกายส่วนต่าง ๆ

และที่สำคัญการใช้เวลาคุณภาพร่วมกันจะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ทั้งยังเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยอันมั่นคงให้กับจิตใจของลูกได้อีกด้วย

 

"เลี้ยงลูก"

 

ความฉลาดทางอารมณ์ หรือทักษะ EQ สามารถสร้างให้แข็งแรงได้ เริ่มต้นได้ไม่ยากด้วย 3 เทคนิคนี้ 

1.สร้างสภาพแวดล้อมแห่งความสุข 2.ฝึกรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ และ 3.ใช้เวลาคุณภาพกับลูก

คุณพ่อคุณแม่ลองนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ดูนะคะ เพื่อพัฒนาทักษะด้านอารมณ์ของลูก ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในเขาในอนาคต เราเชื่อว่าทุกคนทำได้ BrainFit เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านนะคะ

 

เพราะพัฒนาการของลูกนั้นสำคัญ ที่ BrainFit มีกิจกรรมที่ช่วยฝึกทักษะสมองทั้ง 5 ด้าน ที่ช่วยพัฒนาทั้งด้านความจำ สมาธิ ความแข็งแรงของร่างกาย รวมไปถึงความฉลาดทางอารมณ์และการเข้าสังคม ผ่านโปรแกรมและกิจกรรมที่มีความสนุกสนาน มาพัฒนาทักษะสมองของลูกให้แข็งแรง เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้!

 

 

 

เพิ่มเพื่อน

LINE: @brainfit_th 

จันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ และ อาทิตย์  

02-656-9938 / 02-656-9939 02-656-9915

วันพฤหัสบดี-วันศุกร์  091-774-3769

Contact Us

หากคุณสนใจคอร์สหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อเราได้เลย

BrainFit Studio Thailand ชั้น 2, อาคารเพลินจิตเซ็นเตอร์,
สุขุมวิทซอย 2, กทม. 10110BTS สถานีเพลินจิต ทางออก 4