เมื่อ ลูกเรียนไม่เก่ง เหมือนเพื่อนในห้อง

เมื่อ ลูกเรียนไม่เก่ง…เหมือนเพื่อนในห้อง

ลูกเรียนไม่เก่ง ... ไม่ว่าจะยุคไหน ๆ หลายคนก็มองว่าการเรียนเป็นเรื่องสำคัญ พ่อแม่อย่างเราก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงลูก เมื่อผลการเรียนของเขาเริ่มตกหรือเริ่มเรียนไม่ทันเพื่อนในห้อง อีกทั้งในโรงเรียนและสังคมภายนอกต่างก็ให้ความสำคัญกับผลการเรียน เกรด และการแข่งขันหรือสอบชิงรางวัลต่าง ๆ 

 

แล้วถ้าลูกเรียนไม่เก่ง ทำข้อสอบไม่ได้ ผลการเรียนไม่ดี ในฐานะพ่อแม่จะช่วยลูกได้อย่างไร ?

 

ก่อนอื่น เราต้องเริ่มจากการปรับและทำความเข้าใจก่อนว่า ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่ได้หมายความว่า ลูกจะไม่มีวันเก่ง  

อยากให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าการเรียนในห้องเรียนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ เท่านั้น ลูกไม่เก่งอาจเป็นเพราะลูกยังไม่เจอสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่ถนัด เพราะการที่เราจะเก่งหรือมีความสามารถในด้านใดด้านหนึ่ง นอกจากความขยันและความใฝ่รู้แล้ว เรายังต้องอาศัยความชื่นชอบและความสนใจที่อยากจะทำในสิ่งนั้น ๆ ด้วยเช่นกัน

เริ่มจากการยอมรับและไม่คาดหวังว่า ลูกของเราจะต้องเก่งเหมือนใคร ๆ แต่ลูกของเราจะเก่งในแบบของลูกเอง ลูกของเราจะทำได้ดีในทางที่เขาเลือกได้ เมื่อเขาค้นพบตัวตนและสิ่งที่เขาชอบเจอ ขอเพียงแค่มีเราที่เข้าใจและคอยสนับสนุนลูกอยู่เสมอ 

เมื่อเราสามารถปรับความคาดหวังลงและสามารถยอมรับในตัวตนของลูกได้แล้ว เราก็จะผันตัวมาเป็นผู้ช่วยที่คอยสังเกตการณ์และคอยสำรวจอยู่ห่าง ๆ คอยดูว่าตอนนี้ลูกต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ลูกกำลังเจอกับอะไร และลูกจะก้าวข้ามปัญหาเรื่องการเรียนนี้ไปได้อย่างไร 

 

เรามาหาคำตอบไปด้วยกันเลยว่า ที่ลูกเรียนไม่เก่งนั้นเราจะช่วยแก้ไขได้อย่างไรบ้าง ?

 

เรามาลองสังเกตและพยายามทำความเข้าใจลูกมากขึ้น เพราะการที่เขาเรียนไม่เก่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งจากภายนอกและภายใน เมื่อรู้สาเหตุแล้วเราจะได้ช่วยแก้ไขได้ตรงจุดมากขึ้น 

สาเหตุจากภายนอกหรือจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก เช่น ลูกเคยโดนตำหนิหรือโดนเปรียบเทียบเรื่องผลการเรียน ถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้ง ถูกคุณครูทำโทษเพราะเรียนไม่เข้าใจ หรืออาจเป็นเพราะครอบครัวคาดหวังกับผลการเรียนมากเกินไป 

วิธีแก้คือสร้างพลังใจให้ลูก เพราะถ้าครอบครัวและคนรอบข้างเข้าใจไม่คาดหวัง แถมยังคอยให้กำลังใจ ชื่นชมในความพยายามของลูกเสมอ แบบนี้จะทำให้ลูกมีมุมมองและทัศนคติที่ดีกับการเรียนมากขึ้น ในอนาคตเขาอาจจะเริ่มสนุกกับการเรียน ค้นพบวิชาที่เขาถนัด และพยายามจนผลการเรียนดีขึ้นเองโดยที่เราไม่ต้องเคี่ยวเข็ญเลยก็เป็นได้

สาเหตุจากภายในหรือจากตัวเด็กเอง เช่น ลูกอาจมีอาการสมาธิสั้น มีพัฒนาการช้ากว่าวัย มีภาวะดิสเล็กเซียหรือประสบปัญหาด้านการอ่าน จึงทำให้ลูกมีปัญหาเรื่องการเรียนในห้องเรียนและเรียนรู้ได้ช้ากว่าเพื่อนในห้อง

วิธีแก้คือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะสาเหตุนี้คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำคำแนะนำมาปรับใช้และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น อีกทั้งผู้ปกครองอาจจะต้องไปพูดคุยกับคุณครูที่โรงเรียน เพื่อให้คุณครูเข้าใจถึงปัญหาที่ลูกของเรากำลังเจออยู่ ให้คุณครูสามารถช่วยเหลือหรือปรับวิธีการเรียนการสอนให้เหมาะกับลูกมากขึ้น 

ทั้งนี้อาการต่าง ๆ ที่กล่าวมา ยิ่งเราเจอตั้งแต่ลูกยังเล็กก็ยิ่งแก้ไขได้ไว เพราะปัญหาเหล่านี้มักเกิดจากทักษะสมองบางด้านยังอ่อนอยู่หรือพัฒนาได้ช้ากว่าด้านอื่น ๆ เช่น    

ลูกเรียนรู้ภาษาได้ช้าอาจเป็นเพราะทักษะการการฟังการวิเคราะห์เสียงยังไม่แข็งแรง 

ลูกนั่งเรียนในห้องนิ่ง ๆ ไม่ได้ อาจเป็นเพราะทักษะการควบคุมร่างกาย หรือทักษะการทรงตัวยังไม่แข็งแรง 

ลูกไม่ชอบเขียนหรือเขียนไม่สวย อาจเป็นเพราะทักษะการมองการกะระยะยังอ่อนอยู่ หรือกล้ามเนื้อมัดเล็กยังไม่แข็งแรงจึงทำให้ลายมือไม่สวย 

 

"ลูกเรียนไม่เก่ง"

 

 

"การออกกำลังกายช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงได้ฉันใด

การฝึกสมองก็สามารถช่วยให้ทักษะการเรียนรู้แข็งแรงได้ฉันนั้น"

 

เราเชื่อว่าทักษะสมองก็เหมือนกับกล้ามเนื้อ ที่ BrainFit จึงมีคอร์สที่ช่วยฝึกและพัฒนาทักษะสมองทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 

ทักษะด้านสมาธิ การจดจ่อ และความจำ ทำให้ลูกสามารถจดจ่อกับการเรียนหรือกิจกรรมที่ทำอยู่ได้ดีมากขึ้น มีสมาธิและจดจำข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทักษะด้านการเคลื่อนไหว ระบบประสาทสัมผัส  และการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เมื่อลูกมีทักษะด้านร่างกายที่แข็งแรง ส่งผลให้ลูกสามารถควบคุมและจัดระเบียบร่างกายได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตอนนั่งเรียนในห้องเรียน การออกแรงเวลาเขียนหนังสือ หรือความคล่องแคล่วเมื่อต้องเคลื่อนไหวร่างกาย

ทักษะด้านการมอง ไหวพริบ และการวิเคราะห์ข้อมูลจากการมองเห็น เมื่อลูกมีทักษะการมองที่แข็งแรง ในวิชาที่ต้องคิดและวิเคราะห์ข้อมูลจากการมอง เช่น รูปทรงเรขาคณิต การหาพื้นที่ การมองภาพสามมิติ ลูกจะสามารถใช้ทักษะและวิเคราะห์ข้อมูลจากการมองได้ไวมากยิ่งขึ้น

ทักษะด้านการฟังการวิเคราะห์เสียง ทักษะการฟังที่แข็งแรงจะช่วยให้ลูกสามารถจดจำ วิเคราะห์ข้อมูล และเรียนรู้จากการฟังได้ดีขึ้น เช่น ลูกสามารถจดตามสิ่งที่ครูพูดได้ทัน เข้าใจและสามารถทำตามคำสั่งที่ได้ทันที สามารถเรียนรู้ภาษาต่างประเทศได้ไว สามารถเรียนรู้ทักษะด้านดนตรี แยกเสียงสูงเสียงต่ำได้อย่างแม่นยำ

ทักษะด้านอารมณ์และการเข้าสังคม ทักษะด้านนี้จะช่วยให้ลูกสามารถควบคุมและจัดการอารมณ์ตัวเองได้ มีทัศนคติและความคิดเชิงบวก เมื่อเจอปัญหาหรือสถานการณ์ต่าง ๆ สามารถรับมือและจัดการได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงทักษะการเข้าสังคมกับเพื่อน ๆ

 

เพราะการที่ ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเก่งขึ้นไม่ได้ ขอเพียงแค่พ่อแม่และคนรอบตัวเข้าใจ คอยสนับสนุน คอยให้กำลังใจ

และหาวิธีที่จะช่วยให้ลูกพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ของเขาให้แข็งแรงมากขึ้น เพราะเมื่อลูกมีทักษะสมองทุกด้านที่แข็งแรง เขาพร้อมสำหรับการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เรื่องการเรียนอาจจะกลายเป็นเรื่องสนุกและน่าสนใจสำหรับลูกมากขึ้นได้เช่นกัน

 

 

พัฒนาสมาธิ และศักยภาพการเรียนรู้ 

สำหรับเด็ก 3-18 ปี

 

"แก้อาการสมาธิสั้น"

 

เพิ่มเพื่อน

LINE: @brainfit_th 

จันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ และ อาทิตย์  

02-656-9938 / 02-656-9939 02-656-9915

วันพฤหัสบดี-วันศุกร์  091-774-3769

 

Contact Us

หากคุณสนใจคอร์สหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อเราได้เลย

BrainFit Studio Thailand ชั้น 2, อาคารเพลินจิตเซ็นเตอร์,
สุขุมวิทซอย 2, กทม. 10110BTS สถานีเพลินจิต ทางออก 4