พัฒนาทักษะ ได้มากกว่าที่คิด ด้วย Tangram
พัฒนาทักษะ ต่าง ๆ ด้วย Tangram หรือตัวต่อเรขาคณิต ซึ่งตัวต่อดังกล่าวมีรูปร่าง รูปทรงที่แตกต่างกัน และยังเป็นกิจกรรมยอดฮิตของเด็กในปัจจุบัน หากเล่าถึงความสำคัญของตัวต่อต่าง ๆ คงเล่าได้ไม่หมด เพราะกิจกรรมนี้สามารถช่วยพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้มากกว่าที่คิด
ดังนั้น BrainFit จึงขอเสนอเรื่อง พัฒนาทักษะ ได้มากกว่าที่คิด ด้วย Tangram ตัวต่อปริศนา
ผู้ปกครองหลายคนคงรู้จักตัวต่อเรขาคณิต หรือ Tangram กันไม่มากก็น้อย ดังนั้นก่อนจะเริ่มกล่าวถึงประโยชน์ของ Tangram เราลองมาทำความรู้จักตัวต่อแบบนี้ไปด้วยกัน
Tangram คือ ตัวต่อเรขาคณิต ที่มีรูปร่างต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นรูปพื้นฐานทางเรขาคณิต เช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม รูปหลายเหลี่ยม เป็นต้น เพียงไม่กี่รูปแต่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้มากกว่า 100 แบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปยานพาหนะที่เด็ก ๆ ชอบกัน รูปสถานที่ และยังปรับเปลี่ยนมุมมองแต่ละรูปได้อีกด้วย เมื่อเรารู้จัก ตัวต่อปริศนา นี้กันแล้ว ลองมาดูกันเถอะว่า Tangram สามารถ พัฒนาทักษะ อะไรได้บ้างและได้มากน้อยขนาดไหน
พัฒนาทักษะ ได้มากกว่าที่คิด ด้วย Tangram ดังนี้
1. พัฒนาทักษะการวางแผนและเรียงลำดับข้อมูล ✨
ก่อนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำการบ้าน หรือการใช้ชีวิตประจำวันต่าง ๆ เราจำเป็นต้องมีการวางแผนก่อนเสมอ การต่อรูปด้วย Tangram ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยในเรื่องการวางแผนข้อมูล และหากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
เด็ก ๆ ก็จะมีสมาธิและวางแผนก่อนทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น
2. พัฒนาทักษะความจำจากการมองและการแยกแยะวัตถุ ✨
การแยกแยะวัตถุ การจับกลุ่มสิ่งที่เหมือนกัน หรือต่างกัน เป็นทักษะที่พัฒนาขึ้นในช่วง 3 ขวบเป็นต้นไป ซึ่งลักษณะการฝึกอาจจะเป็นตัวต่อที่ง่าย ๆ ให้เห็นรูปแบบตัวต่อที่ชัด
และภาพที่ง่ายต่อการมอง เมื่อเด็กมีประสบการณ์มากขึ้น ก็จะมีการจดจำและเรียนรู้ สามารถบอกและแยกแยะได้ว่าแต่ละรูปคือรูปอะไร รวมไปถึงฝึกพัฒนาการทางด้านภาษาจากการพูดคุยได้อีกด้วย
3. พัฒนาทักษะมิติสัมพันธ์ ✨
ทักษะมิติสัมพันธ์ เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก การใช้ตัวต่อ Tangram หรือตัวต่อเรขาคณิตต่าง ๆ ตั้งแต่รูปพื้นฐาน จนถึงรูปที่มีความซับซ้อนมากขึ้น จะช่วยในเรื่องการมองที่เชื่อมโยงกันของรูปและข้อมูลจากประสบการณ์ต่าง ๆ ของน้องมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น ต่อรูปที่คล้ายบ้าน เด็กบางคนบอกว่าเหมือนบ้าน บางคนบอกเหมือนปล่องไฟ หรือบางคนบอกเหมือนเต่า ซึ่งเด็ก ๆ จะแยกแยะตำแหน่งสิ่งของต่าง ๆ และประกอบรวมกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยได้เจอ ทำให้มีคำตอบที่หลากหลาย และมีการเสริมสร้างจินตนาการเข้าไปด้วยตามช่วงวัย
4. พัฒนาทักษะการสังเกตและเก็บรายละเอียดข้อมูล ✨
สังเกตไหมคะว่าเด็กที่ชอบต่อเลโก้ หรือตัวต่อเรขาคณิตต่าง ๆ มักจะมีการเก็บรายละเอียดข้อมูลของการเขียน ตัวอักษรที่ค่อนข้างละเอียด เกิดจากการสังเกตมุมต่าง ๆ ของตัวต่อ
การปรับเปลี่ยนและสังเกตรายละเอียดของรูปที่มากขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อมัดเล็ก และทักษะทางด้านการมองของน้องแข็งแรงมากขึ้น เมื่อเจอตัวอักษรในภาษาต่าง ๆ ก็สามารถเก็บรายละเอียดตรงนั้นได้ดี
5. พัฒนาทักษะการรับรู้ตำแหน่ง ✨
การฝึกต่อตัวต่อด้วย Tangram จะช่วยในเรื่องการรับรู้ตำแหน่งของรูป การกะระยะทางสายตาเพื่อคาดคะเนตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงการเขียนและลายมือ การเขียนตรงเส้น ลักษณะการเขียนตัวอักษรเท่ากันหรือไม่เท่ากัน
แต่ต้องขอบอกก่อนว่าไม่ได้ฝึกแค่ตัวต่อเท่านั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่สามารถช่วยในเรื่องลายมือของน้อง ๆ ได้ด้วยเช่นกันค่ะ
6. พัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการจัดการอารมณ์เมื่อเกิดข้อผิดพลาด ✨
การเล่นหรือการต่อตัวต่อ อาจจะมีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะเป็นการฝึกแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้กับเด็ก ๆ ได้อีกขั้น เพราะทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นทักษะที่พัฒนาขึ้นจากการฝึกฝน
และการมีประสบการณ์รวมไปถึงการจัดการอารมณ์ต่าง ๆ ของเด็ก บางคนผิดหวัง เศร้า เสียใจที่ทำพลาด แต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร จึงเป็นการขว้างของ มีพฤติกรรมที่รุนแรง ซึ่งหากเด็กได้เรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหา จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้นและแสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมมากขึ้น
7. พัฒนาทักษะการจดจ่อและสมาธิ ✨
การมีสมาธิ การจดจ่อที่ดี เป็นปัจจัยหลักในการทำงาน การเรียน หรือแม้กระทั่งการเล่นด้วยเช่นกัน ซึ่งการต่อตัวต่อ Tangram เป็นการใช้ทักษะขั้นสูง หรือก็คือ การมีสมาธิ ซึ่งการจดจ่อต่าง ๆ เป็นไปตามช่วงวัย
เริ่มตั้งแต่ง่าย ๆ เพิ่มความยากเข้าไปทีละนิดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สมองจดจำรูปแบบและค่อย ๆ เชื่อมโยงข้อมูลมากขึ้น และพัฒนาสมาธิได้มากขึ้นจากการจดจ่อกับตัวต่อนั้น ๆ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วถ้าเด็กสมาธิสั้น จะทำตัวต่อนาน ๆ ได้ไหม น้องไม่ชอบต่อตัวต่อเลย รูปง่าย ๆ ก็ไม่อยากทำ ชอบเล่นอย่างเดียวเลย
คำตอบ คือ เด็กสมาธิสั้นก็สามารถต่อตัวต่อ และ สร้างสรรค์ผลงานผ่านตัวต่อต่าง ๆ ได้เช่นกันค่ะ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนั่งต่อเพียงอย่างเดียว เป็นการฝึกฝนทักษะพื้นฐานทางสมองทั้ง 5 ด้านก่อน คือ
ทักษะด้านการเคลื่อนไหว เช่น การกระโดดตามท่าทางต่าง ๆ การฝึกการทรงตัว เป็นต้น ทักษะการมอง เริ่มต้นจากการกวาดสายตามองจากซ้ายไปขวา จากรูปกว้าง ๆ ให้เด็กได้คุ้นชิน และเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตาก่อน หลังจากนั้นเริ่มให้ลองต่อบล็อคไม้เป็นตึกต่าง ๆ เป็นต้น ทักษะทางด้านการฟัง การทำตามกติกา การทำตามคำสั่ง รวมไปถึงทักษะการมีสมาธิการควบคุมอารมณ์ ซึ่งมีกิจกรรมหลายกิจกรรมที่พัฒนาทักษะ ต่าง ๆ ได้มากขึ้น
ทาง BrainFit Studio Thailand มีโปรแกรมฝึกพัฒนาทักษะต่าง ๆ ของเด็ก ๆ ให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ยังต่อยอดไปยังการเรียนรู้เชิงวิชาการ การใช้ชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม ผ่าน โปรแกรมฝึกทักษะพื้นฐานทางสมองทั้ง 5 ด้านหรือ Whole Brain Training พัฒนาทุกทักษะไปพร้อมกันเพื่อพัฒนาสมาธิและพัฒนาทักษะ EF ได้อีกด้วย ซึ่งโปรแกรมนี้เหมาะสำหรับน้อง ๆ ตั้งแต่ 3 - 18 ปีเลยนะคะ
สนใจโปรแกรม Whole Brain Training หรือปรึกษาพัฒนาการต่าง ๆ ของลูกรัก
💕ติดต่อเราได้ที่นี่เลยค่ะ💕
จันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ และ อาทิตย์
02-656-9938 / 02-656-9939 / 02-656-9915
วันพฤหัสบดี-วันศุกร์ 091-774-3769