ความ ขี้เกียจ แก้ได้! แค่เข้าใจสาเหตุ
เคยไหม? เวลาต้องเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ ก็รู้สึกไม่อยากลอง หรือเมื่อจำเป็นต้องทำงาน ทำการบ้าน ก็รู้สึก ขี้เกียจ ผัดวันประกันพรุ่ง เลื่อนไปเรื่อย ๆ คิดนู่นคิดนี่ไว้มากมาย สุดท้ายก็ล้มเลิก ไม่เริ่มทำ เพียงเพราะความขี้เกียจ
จริง ๆ แล้ว ความขี้เกียจเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่จะดีกว่าไหม หากเราสามารถเอาชนะความขี้เกียจได้ ทำงานได้ไว และไม่อิดออดมากขึ้น
ก่อนอื่นเรามาเข้าใจการทำงานของสมองที่อยู่เบื้องหลังความขี้เกียจกันก่อน
ทำไมคนเราถึง ขี้เกียจ ?
ย้อนไปสมัยอดีต มนุษย์จำเป็นต้องอยู่ในโหมดรักษาพลังงาน เพื่อไว้หนีอันตราย และสมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากถึง 20% ทำให้สมองมักจะเลือกทางที่ง่ายกว่า หรือก็คือใช้พลังงานน้อยกว่านั่นเอง
เช่น หากต้องเลือกระหว่างการตบมือ 3 ครั้ง กับการกระโดดตบ 3 ครั้ง แน่นอนเลยว่าเราจะเลือกการตบมือ 3 ครั้ง เพราะสมองจะคำนวณแล้วว่าการตบมือนั้น ใช้พลังงานน้อยกว่าการกระโดดตบนั่นเอง
นอกจากเหตุผลเรื่องของการสะสมพลังงานของสมอง ยังมีเหตุผลอื่น ๆ อีก ที่สนับสนุนให้เกิดความขี้เกียจ ได้แก่
1. ปัญหาด้านอารมณ์
ความเครียด และความกังวล ส่งผลต่อความขยันเช่นกัน หากอารมณ์ไม่พร้อม ทำให้การจดจ่อทำสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งการตัดสินใจทำได้ยากขึ้น
2. ทัศนคติเชิงลบต่อการเรียน
การมีทัศนคติเชิงลบว่าการเรียน หรือการทำสิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ยาก เราไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ทำให้สมองของเราเชื่อแบบนั้น และไม่พยายามที่จะเรียนรู้
3. ขาดจุดมุ่งหมาย
การต้องทำบางสิ่งบางอย่าง อย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย อาจทำให้ขาดแรงจูงใจ แรงผลักดันในการที่จะทำสิ่งนั้น ๆ ให้สำเร็จได้
4. กิจกรรม งาน หรือการเรียนที่ยากเกินไป
หากงานที่ต้องทำมีความยากเกินทักษะของเรา ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เราขี้เกียจทำงานนั้น ๆ เช่นกัน
เอาชนะความ ขี้เกียจ ไม่ยาก! ด้วย 5 วิธี
ความขี้เกียจมักเข้ามามีบทบาทตอนที่เราต้องทำสิ่งที่ยาก และไม่คุ้นเคย เมื่อเรารู้สาเหตุแล้วว่าทำไมเราถึงขี้เกียจ BrainFit มีเทคนิคเอาชนะความขี้เกียจมาฝากกัน
1. เชื่อมโยงนิสัยใหม่กับนิสัยใหม่
การเริ่มทำสิ่งใหม่ให้กายเป็นกิจวัตรประจำวันนั้นไม่ง่าย แต่หากเราเชื่อมโยงสิ่งใหม่ที่จำเป็นต้องทำ กับสิ่งใหม่ที่ทำให้เรารู้สึกดีเข้าด้วยกัน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็จะทำได้ง่ายขึ้น เช่น เราอยากเริ่มออกกำลังกาย ให้เริ่มจากการที่หากออกกำลังกาย 1 วัน จะได้พักผ่อน 1 วัน เป็นต้น
2. เริ่มทำจากสิ่งเล็ก ๆ
การคิดว่าเราต้องทำการบ้าน อาจดูเป็นเรื่องยากสำหรับสมอง และยากที่จะลุกมาทำ ให้หลอกสมองด้วยการคิดว่า แค่ลุกขึ้นไปนั่งที่โต๊ะ แค่หยิบหนังสือมาวางเท่านั้น
3. ตั้งเป้าหมายระยะสั้น และระยะยาว
การมีเป้าหมายนอกจากจะช่วยเป็นแรงผลักดันให้เราแล้ว ยังช่วยให้เรารู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เป้าหมายระยะสั้นเอง ก็สำคัญไม่แพ้เป้าหมายระยะยาว การที่เราทำเป้าหมายระยะสั้นให้สำเร็จ จะทำให้สมองหลั่งสารที่ทำให้เรามีความสุขออกมา และทำให้เราเสพติดและอยากทำต่อไปอีกเรื่อย ๆ
4. เปลี่ยนงานยากให้เป็นงานง่าย ด้วยการฝึกสมองให้แข็งแรง
การทำกิจกรรม ย่อมต้องอาศัยพื้นฐานทักษะสมอง เช่น การอ่านหนังสือให้จบสัก 1 เล่ม หากทักษะการมองของเราไม่แข็งแรง ทำให้การอ่านนั้นเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องใช้พลังงานสมอง และพลังใจมากกว่าปกติ เพราะฉะนั้นการฝึกให้มีพื้นฐานทักษะสมองในแต่ละด้านให้แข็งแรง จึงสามารถช่วยให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เหลือพลังสมองมากพอที่จะทำสิ่งอื่น ๆ
5. เปลี่ยนทัศนคติให้เป็นเชิงบวก
การทำสิ่งใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย อาจทำให้เรารู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องที่ยากแน่ ๆ เลย แต่จริง ๆ แล้ว การมีทัศนคติแบบนั้น เป็นสิ่งที่ขัดขวางการเรียนรู้อย่างมาก หากลองเปลี่ยนความคิด ให้มองว่า การทำสิ่งที่ยาก เป็นความท้าทาย เป็นสิ่งที่เราสามารถเอาชนะได้ การทำสิ่งใหม่ เป็นโอกาสให้เราได้ลองเรียนรู้ กิจกรรมนั้นอาจจะกลายมาเป็นสิ่งที่เราชอบก็ได้
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับเทคนิคเอาชนะความขี้เกียจ ไม่ยากเลยใช่มั้ยล่ะคะ เพราะในความเป็นจริงนั้นเราไม่สามารถเลือกทำแต่สิ่งที่ชอบ หรือสิ่งที่ง่าย ๆ ได้ การเข้าใจสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังความขี้เกียจของเรา ก็จะทำให้เราสามารถเอาชนะความขี้เกียจได้เก่งขึ้นค่ะ
หากคุณพ่อคุณแม่อยากฝึกพื้นฐานสมองของน้อง ๆ ให้แข็งแรง รวมถึงความคิด ให้คิดแบบ Growth Mindset หรือความคิดแบบเติบโตมากขึ้น เพื่อเอาชนะความขี้เกียจ BrainFit ขอแนะนำคอร์ส BrainFit Junior สำหรับน้อง ๆ อายุ 3-6 ปี และคอร์ส BrainFit Scholar สำหรับน้อง ๆ อายุ 7-18 ปี หากสนใจสอบถามข้อมูล หรือทดลองเรียนฟรี สามารถกรอกข้อมูลด้านล่างได้เลยนะคะ
พัฒนาสมาธิอย่างตรงจุด ผ่านงานวิจัย มากว่า 40 ปี
ช่วยให้เด็ก ๆ มีพัฒนาการเรียนรู้ที่ดีขึ้น
จันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ และ อาทิตย์
02-656-9938 / 02-656-9939 / 02-656-9915
วันพฤหัสบดี-วันศุกร์ 091-774-3769