อ่านหนังสือเก่งขึ้น ด้วยเทคนิค SQ3R

การอ่านเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ แต่การจะอ่านให้เข้าใจ และสามารถจดจำเนื้อหาได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

หลาย ๆ คนอาจประสบปัญหา อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ไม่สามารถจดจำข้อมูลได้ โดยเฉพาะช่วงก่อนสอบที่อยู่ในสภาวะกดดันด้วยแล้ว

BrainFit มีเทคนิคดี ๆ ที่ช่วยให้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาฝากกัน นั่นก็คือ

"เทคนิค SQ3R"

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับ The forgetting curve หรือ Ebbinghaus’ Forgetting Curve ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการหลงลืมข้อมูลที่ได้เรียนรู้มา ถูกนำเสนอโดยนักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ที่ชื่อว่า Hermann Ebbinghaus เขากล่าวว่า คนเราจะลืมข้อมูลต่าง ๆ ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ความสามารถในการจำจดข้อมูลเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ลดลง

✨ การเอาชนะ The forgetting curve ได้นั้น ต้องอาศัยการทวนซ้ำ หรือ Spaced Repetition เมื่อเราหมั่นทบทวนข้อมูลที่ได้รับมาอย่างสม่ำเสมอ การเรียกข้อมูลนั้นมาใช้อีกครั้ง ก็จะทำได้รวดเร็วขึ้น

ซึ่งการทวนซ้ำนั้น ก็สอดคล้องกับเทคนิคที่ช่วยในเรื่องของการอ่านให้เข้าใจ และจดจำเนื้อหาได้มากขึ้น ที่ BrainFit จะมาแนะนำด้วยเช่นกันค่ะ

เทคนิค SQ3R คืออะไร ?

เทคนิค SQ3R เป็นเทคนิคที่ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าใจเนื้อหา และสามารถจดจำข้อมูลได้ โดยถูกคิดค้นในปี 1946 โดย Francis P. Robinson นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน

ขั้นตอนของเทคนิค SQ3R

1. Survey ขั้นตอนการสำรวจ

อ่านชื่อเรื่อง เพื่อให้ได้เตรียมใจกับเนื้อหาที่จะได้อ่าน
อ่านคำนำและบทสรุป เพื่อเข้าใจถึงจุดประสงค์ของผู้เขียน
อ่านสารบัญและหัวข้อย่อยต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงโครงสร้างของเนื้อหา และเส้นเรื่องที่จะดำเนินไป
อ่านแผนภูมิต่าง ๆ หรือคำอธิบายคำศัพท์ที่เป็นตัวหนา หรือตัวเอียง จะช่วยให้เข้าใจประเด็นนั้น ๆ ได้ดีขึ้น

ขั้นตอนนี้จะทำให้เราสามารถมองภาพรวมของเรื่องที่กำลังจะอ่านได้ดียิ่งขึ้น และช่วยในการตัดสินใจว่าอะไรสำคัญ และแต่ละหัวข้อเชื่อมโยงกันอย่างไร

2. Question ขั้นตอนของการสงสัย และตั้งคำถาม

เปลี่ยนหัวข้อให้กลายเป็นคำถาม ใครทำอะไร เกิดอะไรขึ้น ที่ไหน อย่างไร? ขั้นตอนนี้จะทำให้เรามีสมาธิในการอ่านมากขึ้น รวมถึงมีเป้าหมายในการที่จะหาคำตอบของคำถามต่าง ๆ ที่ได้ตั้งไว้

3. Read ขั้นตอนการอ่าน

อ่านเนื้อหาแต่ละหัวข้อ โดยอย่าลืมมองหาคำตอบของคำถาม และเมื่อได้คำตอบแล้วให้จดไว้ ไฮไลท์หรือขีดเส้นใต้เนื้อหาที่สำคัญเพื่อให้จดจำได้ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องอ่านเนื้อหาทั้งหมดในครั้งเดียว สามารถพักสายตาและสมองได้ หากรู้สึกว่าล้า ขั้นตอนนี้จะทำให้เราได้รู้ว่าคำตอบอยู่ส่วนไหนของเนื้อหา รวมถึงเป็นการจำลองการสอบไปในตัวในเรื่องของการเขียนตอบคำถาม

4. Recite ขั้นตอนของการท่องจำ

หลังจากอ่านแต่ละหัวข้อจบแล้ว ให้ลองพูดสรุปออกมาโดยใช้ภาษาของตัวเอง และเขียนสรุปหัวข้อนั้น ๆ หรือจะใช้ Mind Map ก็ได้เช่นกัน เพื่อช่วยให้เข้าใจความเกี่ยวข้องของเนื้อหาได้ดีขึ้น

5. Review ขั้นตอนของการทวนซ้ำ

เมื่ออ่านจบทั้งหมดแล้ว ด้วยขั้นตอนทั้ง 4 ที่พูดถึงไปข้างต้น ให้ทบทวนด้วยโน้ตที่จดไว้ และลองตั้งคำถามแล้วตอบ และให้ลองดูว่าโน้ตที่เราจดเอง กับจดตอนที่เรียนในห้องเชื่อมโยงกันไหม และหมั่นกลับมาทบทวนทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อช่วยทบทวนความจำ รวมถึงเป็นการเตรียมตัวสอบไปในตัว ลดภาระในช่วงใกล้สอบให้ไม่ต้องอัดเนื้อหาทั้งหมดภายในไม่กี่วัน

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลให้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

🔹 ความเครียดที่พอดี จะส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้นให้ทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ แต่หากมีความเครียดมากเกินไป อาจทำให้สมองหลั่งสารเคมีที่ส่งผลขัดขวางการเรียนรู้ได้

🔹 การพักผ่อนที่เพียงพอนั้น ส่งผลโดยตรงในเรื่องของความจำระยะยาว เพราะในขณะที่เรานอนหลับนั้นสมองจะส่งข้อมูลจากความจำระยะสั้น ไปเก็บเป็นความจำระยะยาว ซึ่งขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นในช่วงที่เราหลับลึกนั่นเอง เพราะฉะนั้นอย่าลืมนอนให้ครบเวลาด้วยนะคะ

🔹 ทักษะพื้นฐานสมองในด้านอื่น ๆ โดยสมองนั้นมีการแบ่งหน้าที่ทำงานกันหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมาธิ ความจำ กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ การมอง การฟัง และอารมณ์ ซึ่งล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการอ่านทั้งทางตรง และทางอ้อม เช่น

หากเด็ก ๆ ฟังได้ไม่ชัดเจน ส่งผลให้มีแม่พิมพ์เสียงที่ไม่ชัดเจน การอ่านสะกดคำ และการอ่านออกเสียงจะทำได้ยาก

ทำให้การอ่านทำได้ไม่ต่อเนื่อง เกิดเป็นความไม่สนุก และไม่ชอบการอ่านขึ้นมา

BrainFit เล็งเห็นปัญหา และคิดค้นหลักสูตร Whole Brain Training ขึ้น เพื่อช่วยพัฒนาทักษะสมองในทุกด้านให้แข็งแรง เพื่อให้เด็ก ๆ พร้อมกับทุกกิจกรรม ทั้งในและนอกห้องเรียน เพราะพื้นฐานสมองที่ดี จะส่งผลให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น และสนุก

สนใจทดลองเรียนฟรี หรือสอบถามข้อมูลการฝึกเพิ่มเติม สามารถกรอกข้อมูลด้านล่างได้เลยนะคะ