มาเรียนรู้วิธีการช่วยให้เด็กๆมีระเบียบมากขึ้นกันเถอะ!

มาเรียนรู้วิธีการช่วยให้เด็ก ๆ มีระเบียบมากขึ้นกันเถอะ!

           เด็กส่วนใหญ่มักจะสร้างความวุ่นวายใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ และไม่มีความเป็นระเบียบ  เช่น ลืมหนังสือไว้ที่โรงเรียน, กองผ้าขนหนูไว้ที่พื้น หรือล้มเลิกสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่คิดในตอนนี้ก็คงจะเป็นการอยากที่จะให้พวกเขาเป็นระเบียบมากกว่านี้ จดจ่อกับหน้าที่ของตนเอง และไม่ล้มเลิกกิจกรรมที่ยังไม่ได้เริ่มโดยง่าย ตัวอย่างกิจกรรมก็เช่น การทำการบ้าน การอ่านหนังสือ เป็นต้น

 

       คำถามก็คือ แล้วมันจะเป็นได้ไหมล่ะ?

          คำตอบก็คือ เป็นไปได้! เด็กบางคนอาจจะมีระเบียบโดยธรรมชาติ แต่เด็ก ๆ คนอื่นอาจจะต้องเรียนรู้ตามประสบการณ์ที่มีเข้ามา จากการช่วยเหลือ และการฝึกฝน เด็ก ๆ สามารถพัฒนาในเรื่องการมีระเบียบได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ

          และคุณคือคนที่เหมาะสมที่สุดในการสอนเด็กๆ ถึงแม้ว่าคุณจะรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้มีระเบียบมากมายอะไร วิธีนี้ง่ายเหมือนการนับ 1-2-3 ซึ่งเราจะใช้หลักในการสอนให้เด็กๆมีระเบียบ ดังนี้


       ง่ายเหมือนนับ 1-2-3

           สำหรับเด็ก ภาระกิจของเด็กสามารถแบ่งได้ตามขั้นตอน 1-2-3 ดังนี้

           นับ 1. การจัดระเบียบ หมายถึง การที่เด็ก ๆ จะเริ่มต้นวางแผนเป็นลำดับจากสิ่งที่เขาต้องการเริ่มต้นลงมือทำ และรวบรวมอุปกรณ์ที่จำเป็น ที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้งานเสร็จสมบูรณ์

           นับ 2. คือการให้ความสนใจ หมายถึง การติดตามงานที่ตนเองทำ และเรียนรู้ที่จะพูดว่า "ไม่" กับสิ่งที่มารบกวน

           นับ 3ทำให้เสร็จ หมายถึง การทำงานให้เสร็จ การตรวจสอบงาน และการเตรียมตัวส่งงานนั้น ๆ  เช่น ทำการบ้านเสร็จ เก็บใส่แฟ้ม แล้วนำแฟ้มไปใส่กระเป๋า เพื่อนำไปส่งที่โรงเรียนในวันถัดไป

           เมื่อเด็กๆรู้ขั้นตอน และวิธีการใช้เหล่านี้แล้ว พวกเขาจะสามารถเริ่มต้นที่จะรับรู้แนวทางในการทำงาน และเริ่มมีอิสระในการทำงานด้วยตนเอง ภาระงานอื่นๆที่เขาจะต้องทำอาจจะรวมไปถึงงานบ้าน และภาระงานอื่น ๆ ที่ได้รับหมอบหมาย ที่ต้องทำให้เสร็จโดยที่จะมีความต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่าเด็กๆยังคงต้องการความช่วยเหลือ และคำแนะนำจากผู้ปกครอง แต่คุณอาจจะไม่ต้องให้ความช่วยเหลือพวกเขามากเกินไป

           ไม่เพียงแต่จะฝึกทักษะการมีระเบียบเท่านั้น การเรียนรู้วิธีทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง จะช่วยให้ลูกของคุณรู้สึกว่าตัวเองเก่ง และมีความสามารถ เด็ก ๆ จะรู้สึกถึงความมั่นใจ และภูมิใจในตัวเอง ที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ สำเร็จ และมีความรับผิดชอบต่องานที่ทำ พวกเขาจะมีความสุขเมื่อเขารู้ว่าเขามีเวลาเหลือมากพอที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

 

       เริ่มจากการแปรงฟัน นำไปสู่การทำรายงาน

          เรายังคงใช้หลักการนับ 1-2-3 อยู่ หลักการนี้สามารถช่วยให้เด็ก ๆ นำไปใช้ฝึกเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น การแปรงฟัน

          นับ 1. การจัดระเบียบ : ไปที่ห้องน้ำ หยิบแปรงสีฟัน ยาสีฟัน และเปิดน้ำ
    
          นับ 2. การให้ความสนใจ : หมอฟันบอกว่าต้องแปรงฟันเป็นเวลา 3 นาที นั่นหมายถึงต้องแปรงฟันต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะได้ยินเพลงที่เพราะมากมาจากวิทยุ หรือพึ่งจำได้ว่าจะต้องโทรหาเพื่อนก็ตาม แต่เด็ก ๆ ก็จำเป็นที่จะต้องทำตามในสิ่งที่หมอฟันบอก ก็คือการแปรงฟันให้ห่างจากเหงือกเป็นระยะอย่างต่อเนื่องโดยไม่วอกแวก
    
          นับ 3ทำให้เสร็จ : ถ้าทำตามการนับ 1-2 มาอย่างดีแล้ว พอถึงนับ 3 มันก็จะเสร็จในตัวของมันเอง เย่! หมดเวลา 3 นาทีและฟันของเธอก็สะอาด จากนั้นก็ปิดน้ำ วางแปรงสีฟันกับยาสีฟัน และก็ดูว่าไม่มียาสีฟันติดอยู่ที่หน้า

 

      ถ้ามีความซับซ้อนของงานมากขึ้น

          เช่น การทำรายงาน ขั้นตอนต่าง ๆ ควรเกี่ยวข้องกัน แต่องค์ประกอบพื้นฐานยังคงเหมือนเดิม

 

          นับ 1. การจัดระเบียบ


          ในขั้นตอนนี้จะเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม เพื่อให้เด็ก ๆ รู้ว่า เขาต้องการทำอะไร และต้องเตรียมอุปกรณ์ที่สำคัญ/จำเป็นอะไรบ้าง เช่น "หนูมีรายงานที่ต้องเขียน หนูจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีจ๊ะ?"

 

ลองช่วยเด็ก ๆ เขียนรายการออกมา เช่น เลือกหนังสือที่แน่ใจว่าตรงกับเนื้อหา เขียนชื่อหนังสือ และผู้เขียน เช็คหนังสือที่ห้องสมุด เขียนวันที่กำกับไว้บนปฏิทิน หลังจากนั้นช่วยเด็กๆนึกถึงอุปรณ์ที่ต้องการเช่น : หนังสือ กระดาษโน๊ต ปากกาสำหรับจด ข้อคำถามจากคุณครู และหน้าปกรายงาน ให้เด็กเป็นคนรวบรวมอุปกรณ์เหล่านี้


ระหว่างการทำ พยายามสอนให้เขารู้จักใช้การใช้เครื่องหมายถูก ว่างานอะไรเสร็จไปแล้วบ้าง และพร้อมสำหรับขั้นตอนต่อไป สาธิตในการเพิ่มรายการด้วย พยายามสอนให้เขาคิด "โอเค งานนี้เสร็จแล้ว แล้วเราต้องทำอะไรต่อ? อ๋อ! ต้องเริ่มอ่านหนังสือแล้ว" และเพิ่มรายการเข้าไปว่า "ต้องอ่านหนังสือให้จบ" และ"เริ่มเขียนรายงาน"

 

 

           นับ 2. การให้ความสนใจ


           อธิบายขั้นตอนนี้ที่เกี่ยวกับการให้ความสนใจ และการทำงานอย่างต่อเนื่อง บอกกับเด็กๆถึงสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ ทำตามรายการที่เขียนไว้ และพยายามทำงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องส่วนที่ยากที่สุดสำหรับขั้นตอนนี้ก็คือ เด็ก ๆ อาจจะอยากจะทำอย่างอื่นมากกว่างานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ผู้ปกครองจะต้องคอยช่วยให้เด็ก ๆ ต้านทานสิ่งยั่วยุต่าง ๆ

 

เช่น ในขณะที่กำลังทำรายงานอยู่ เด็กๆอาจจะเกิดไอเดียหรือความคิดในหัวว่า "ฉันอยากเล่นบาสเก็ตบอลในตอนนี้" เราต้องสอนให้พวกเขารู้จักที่จะท้าทาย และหักห้ามใจตัวเอง โดยการให้เขาถามตัวเองว่า "นั่นเป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำในตอนนี้หรือไม่?" อาจจะมีการให้พักเบรคนิดหน่อย แล้วค่อยกลับมาทำงานถือว่ายังโอเค

 


            นับ 3.ทำให้เสร็จ


            ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เด็ก ๆ ใกล้ที่จะทำงานเสร็จ ผู้ปกครองสามารถพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กได้ทำไป เช่น ทำงานเป็นอย่างไรบ้าง? ติดขัดอะไรไหม? ยากหรือเปล่า? หรือผู้ปกครองช่วยอ่าน และตรวจทานเพื่อค้นหาข้อผิดพลาด  พยายามสอนให้เด็ก ๆ จริงจังกับขั้นตอนนี้ เช่น การใส่ชื่อลงไปในรายงาน การใส่ปกรายงาน เอารายงานใส่แฟ้ม  เพื่อนำไปส่งที่โรงเรียนในวันถัดไป

 

         วิธีเริ่มต้นให้เด็ก ๆ คุ้นเคยกับการสอนแบบนับ 1-2-3

              ทำความเข้าใจความหมาย
              เริ่มบทสนทนาจากการยกตัวอย่างที่เหมือนในหัวข้อ "การทำรายงานโดยใช้วิธีการนับ 1-2-3" “การแปรงฟันโดยใช้วิธีการนับ 1-2-3" และลองถามความคิดเห็นกับเด็ก ๆ เช่น มันง่าย หรือยาก? เคยทำแบบนี้มาก่อนไหม? มีอะไรที่เราจะเอามาใช้ได้บ้าง?

              เริ่มวางแผน
              ระดมความคิดเห็นหาวิธีที่ง่าย หรือดีกว่า ถ้าเด็ก ๆ เริ่มสนใจ ใส่ใจ และมีระเบียบกับสิ่งที่จะต้องทำได้แล้ว บางทีการบ้านอาจจะเสร็จเร็วขึ้น แล้วก็จะมีเวลาเล่นมากขึ้น พ่อแม่อาจจะมีการเข้มงวดกับเด็กๆน้อยลง และก็เพิ่มรางวัลให้กับเด็ก ๆ เพื่อให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ

              ตั้งความคาดหวัง
              ผู้ปกครองต้องมีความคาดหวังที่ชัดเจน และใกล้เคียงกับความเป็นจริงว่า เด็ก ๆ จะเริ่มมีระเบียบมากขึ้นไม่มากก็น้อย หากปฎิบัติตามข้อแนะนำอย่างต่อเนื่อง และผู้ปกครองก็ต้องคอยให้การช่วยเหลือเขาไปตลอดทาง

              วางแผน
              ตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน คุณอาจจะเสนอตัวเลือกมา 3 อย่าง แล้วให้เด็ก ๆ เลือกมา 1 อย่าง เช่น เด็ก ๆ จะทำการบ้าน อาบน้ำ หรือเล่นของเล่น นั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่จะลงมือทำ แต่ก็ต้องทำทุกอย่างให้สำเร็จด้วย

              ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกสบายใจเมื่อต้องคุยกับคุณ
              คุณอาจจะถามถึงความคืบหน้าของงานก็ได้ หรือจะลองตั้งคำถามที่เป็นตัวช่วยไกด์ให้เด็ก ๆ ไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ซึ่งจะต้องเป็นคำถามที่คอยชี้แนะไปยังขั้นตอนต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องการ เพื่อให้งานสำเร็จ  และคอยชื่นชมในความสำเร็จแต่อย่ามากจนเกินไป เด็ก ๆ จะรู้สึกพึงพอใจ และมีแรงจูงใจ 

 

               พยายามตั้งคำถาม ทุก ๆ ครั้งที่เด็ก ๆ ต้องทำงานที่ได้รับมอบหมาย ลองฝึกให้พวกเขาตั้งคำถามกับตนเองและตอบคำถามตัวเองด้วยความคิดและการลงมือทำ เช่น ถ้าเด็กไม่อยากเอาของที่ซื้อมาลงจากรถ ลองให้เด็กๆถามตัวเองว่า เช่น 

Q : ฉันต้องเอาของลงจากรถหมดเลยไหม?
A : ไม่จำเป็น ฉันจะไปนอนที่โซฟา
Q : ฉันปิดประตูรถยังนะ?
A : ปิดเเล้ว
Q : นมกับไอศรีมอยู่ไหน? ฉันต้องเอาไปเก็บก่อน
A : เสร็จแล้ว แล้วตอนนี้ต้องทำอะไรต่อ

              ให้ลองสังเกตชุดคำถามและคำตอบในแต่ภาระงานนั้น ๆ ของเด็ก ๆ คอยแนะนำพวกเขาด้วยคำถาม และตอบคำถามพวกเขาอย่างชัดเจน บางที่พวกคำถามที่คุณเคยถามเด็ก ๆ อาจจะไปอยู่ในความคิดของพวกเขา ให้พวกเขาได้ลองหาคำตอบตามคำแนะนำของคุณ แล้วพวกเขาจะได้เรียนรู้ที่จะตั้งคำถามได้ด้วยตัวเอง โดยปราสจากคำชี้แนะจากผู้ปกครอง

              ลองทำงานด้วยกันกับเด็ก ๆ และหาข้อสรุปให้กับคำถามที่ได้รับคำแนะนำมา คุณอาจจะเข้าไปร่วมวงกับเด็ก ๆ และเริ่มตั้งคำถาม และช่วยเด็ก ๆ หาคำตอบ หลังจากนั้นก็โยนคำถามทั้งหมดให้เด็ก ๆ ได้เป็นคนลงมือทำตามคำแนะนำ

                

       สิ่งที่คุณควรระลึกไว้อยู่เสมอก็คือ

          มันจะใช้เวลาที่ค่อนข้างนานในการที่จะสอนเด็กๆให้เข้าใจในแต่ละขั้นตอน และมันก็ใช้เวลานานเหมือนกันสำหรับเด็กที่ต้องนำทักษะเหล่านี้ไปปรับใช้ เพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายบรรลุตามเป้าหมาย 


บางครั้งอาจจะดูง่ายกว่าถ้าเราจะเป็นคนทำให้พวกเขาเลย เพราะมันจะใช้เวลาน้อยกว่า แต่ปัญหาก็คือ เด็ก ๆ จะไม่รู้จักการจัดระเบียบ การวางแผนลงมือทำ และการประสบความสำเร็จเลย ถ้าหากผู้ปกครองคอยลงมือทำให้เด็ก ๆ ตลอดในทุกสถานการณ์ที่ท้าทายความสามารถของพวกเด็กๆ

 

       และนี่คือเหตุผลว่าทำไมมันถึงคุ้มค่ากับความพยายาม

หากคุณสามารถสอนเรื่องนี้ได้ เพราะสิ่งที่เด็ก ๆ จะได้รับก็คือ

          1. เด็กๆได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็นสำหรับพวกเขา เช่น การเทนมลงในชามซีเรียล ผูกเชือกรองเท้า เลือกเสื้อผ้า ทำการบ้าน

          2. พวกเขาจะพัฒนาเรื่องของการเป็นตัวเอง และความเป็นอิสระ เด็กอายุ 4 ขวบที่สามารถแต่งตัวเองได้ จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่โตแล้ว มันจะทำให้รู้สึกดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเรียนรู้ที่จะทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างโดยปราศจากการช่วยเหลือ จากความรู้สึกที่ดีนี้ เด็ก ๆ จะเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นว่าตัวเองสามารถทำกิจกรรมทุกอย่างได้ 

          3. การกำชับ ย้ำๆกับเด็กบ่อยครั้ง จะทำให้เด็กรู้สึกว่าผู้ปกครองมีความคาดหวังกับพวกเขา ว่าพวกเขาควรจะทำตามแบบแผนที่วางไว้จากความต้องการของผู้ปกครอง หากพวกเขาทำไม่ได้ พวกเขาอาจจรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง และอาจจะเสียความมั่นใจในตนเองไปในที่สุด
                   

           ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรที่จะส่งเสริมแนวทางการทำงานที่เกิดจากความคิดของเด็ก ๆ และให้กำลังใจพวกเขา เพื่อเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ และรับรู้ถึงความคาดหวังของคนรอบข้างที่คอยส่งเสริมพวกเขาอยู่


- รูปแบบการสอนแบบนี้จะต้องสอนด้วยความรัก คุณต้องใช้เวลาอย่างมากในการแสดงให้เด็ก ๆ เห็นถึงการทำบางสิ่งบางอย่างด้วยความสนใจ ด้วยความอดทน ความรัก ความเมตตา และความสนใจที่มาจากหัวใจ มันจะทำให้เด็ก ๆ รับรู้ถึงความรัก และการเอาใจใส่ 
 

         วิธีการสอนให้ลูกมีระเบียบมากขึ้นโดยการนับ 1-2-3 ฟังดูไม่ยากเลย สามารถนำไปปรับใช้กับเด็กๆ แล้วผู้ปกครองก็จะได้มีเวลาทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว และยังฝึกให้เด็กๆได้ฝึกคิดเป็นขั้นตอน และเป็นเหตุเป็นผล

 

 

 

ที่ BrainFit เรามีคอร์สฝึกสมองทุกด้านที่จะช่วยพัฒนาทักษะสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ให้กับเด็ก ๆ โดยโปรแกรมนี้ยังได้รวมการสอนการเรื่องการเข้าสังคม และการควบคุมจัดการอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ด้วย เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถจัดการกับอารมณ์ และพฤติกรรมของตัวเองได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ นั่นเอง

 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสุตรคลิก!

คอร์สฝึกสมองทุกด้าน

--------------------------

 

และทางสถาบันยังมีโปรแกรม Fast ForWord® ที่ช่วยพัฒนาทักษะการฟังและการอ่าน ที่สามารถช่วยพัฒนา สมาธิ ความจำ การเรียนลำดับก่อนหลัง การอ่าน และการฟัง ซึ่งเป็นกิจกรรมง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับการพัฒนาทักษะดังที่กล่าวมาไปพร้อม ๆ กับใช้เวลาให้เกิดประโยชน์

 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร คลิก! 

 

----------------------------------

BrainFit รับสมัครน้อง ๆ อายุตั้งแต่ 3-18 ปี

รับคำปรึกษาจากเรา ได้แล้ววันนี้ ฟรี!

ที่ 02-656-9938 / 02-656-9915 / 091-774-3769

LINE: @brainfit_th

 

 

 

 

 

 

แหล่งอ้างอิง: KidsHealth Medical Experts

 

Contact Us

If you would like to have your child attend our course, or you would simply like more information, please contact us today.

BrainFit Studio Thailand 2nd floor, Ploenchit Center,
Sukhumvit Soi 2, Bangkok 10110BTS Ploenchit Station Exit 4