เด็กพัฒนา “การรับรู้เวลา” อย่างไร?

เด็กพัฒนา “การรับรู้เวลา” อย่างไร?

 


ช่วงอายุ 0-2 ปี “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” โดย Carla Poole

โลกของเด็กที่เกิดใหม่เป็นความรู้สึกภาพลานตา สิ่งที่เห็น ได้ยิน และกลิ่น แม้ว่าเด็กบางคนจะพัฒนารูปแบบการให้อาหารและการนอนหลับได้อย่างรวดเร็ว แต่นี่อาจจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยสำหรับเด็กที่พึ่งเกิดใหม่ ในความเป็นจริงที่เปลี่ยนจากตื่นไปหลับ

 ทำอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ 6 เดือนแรก คุณสามารถช่วยทารกควบคุมความสับสนได้ โดยตอบสนองให้ตรงความต้องการ เช่น ป้อนอาหารเมื่อทารกหิวหรือปลอบเมื่อเด็กเสียใจ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้เด็กจัดการกับตัวเองได้ พยายามดูสัญญาณและตอบสนองความต้องการเพื่อสร้างความเชื่อใจ ความหลากหลายของการเลี้ยงดูแลเด็กจะช่วยให้การควบคุมร่างกายตามธรรมชาติและเป็นไปตามตารางเวลา ความรัก ความผูกพัน จะก่อตัวขึ้นและชีวิตจะเริ่มเป็นแบบแผนมากขึ้น

             รู้จักสไตล์ครอบครัว

             ที่สามารถคาดการณ์ได้หลายๆอย่างว่าความสม่ำเสมอในทุกวัน จะเป็นพื้นฐานสำคัญในเรื่องของการรับรู้ว่า แต่ละครอบครัวจะมีรูปแบบในการใช้เวลาที่แตกต่างกัน และเด็กๆจะนำรูปแบบเวลาจากที่บ้านมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ควร “ตรงต่อเวลา” หรือ ทำตัวตามสบายและไม่ต้องมองนาฬิกาตลอดเวลา เด็กๆอาจจะนำอารมณ์หรือบุคลิกภาพที่เป็นของตัวเองเข้าไปในครอบครัว

             เพิ่มกิจวัตรที่ยืดหยุ่น

             แม้ว่าเด็กวัยหัดเดินไม่สามารถบอกเวลาได้ แต่มันค่อนข้างน่าทึ่งที่พวกเขาพัฒนาการรับรู้ช่วงเวลาผ่านกิจวัตรซ้ำๆ คุณสามารถคงความยืดหยุ่นในขณะที่เด็กวัยหัดเดินต้องการทำกิจวัตรเดิม อย่าให้ตารางประจำวันเป็นตารางที่เข้มงวดตามนาฬิกาเป๊ะ มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตราบใดที่ยังเป็นวัฎจักรที่จำเป็นในการเจริญเติบโตของเด็กวัยหัดเดินยังคงเป็นไปตามลำดับเดิม ตัวอย่างเช่น เด็กอายุ 15 เดือน ชื่อ Sammy เขาเปลี่ยนจากนอน 2 ชั่วโมง เป็น 1 ชั่วโมง จะเห็นได้ว่าเขามีอาการเหนื่อยตั้งแต่เช้า เวลากลางวันก็จะขยับขึ้นมา ดังนั้นมั่นใจได้ว่าเขาจะได้ทานอาหารก่อนนอนหลับ ช่วงเวลาตั้งแต่เช้าก็ยังคงดำเนินมาเรื่อยๆตามตารางเวลาเดิมตั้งแต่ เล่น กินขนม ไปข้างนอก และทานอาหารกลางวัน ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็จะทำสั้นลง ไม่มีเด็กวัยหัดเดินสับสนกับการเปลี่ยนแปลง เพราะตารางกิจกรรมของพวกเขายังคงเหมือนเดิม

             ต้องมีความยืดหยุ่น

             เด็กวัยหัดเดินและเด็กอายุ 2 ปี มีเวลาตลอดในโลกใบนี้ แต่ผู้ใหญ่ไม่เคยมีเวลาเพียงพอ ซึ่งน่าเคารพเด็กวัยหัดเดิน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นโลกแห่งความเป็นจริง เด็กเล็กมีความอยากรู้อย่างแรงกล้า เมื่อคุณต้องขัดจังหวะกิจกรรมของเด็กๆ ให้เวลาให้เขาได้ปรับตัวสักครู่ ผู้ใหญ่มักจะทำเหมือนเคร่งอยู่กับเวลา เราเพียงแค่พยายามฝึกให้เขา “ตรงต่อเวลา” เมื่อใดก็ตามที่มีเวลาไม่จำกัดควรจะทำให้ทุกอย่างสนุกสนานมากที่สุด

             คุณสามารถทำอะไรได้บ้าง

·   บอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแน่นอน “แม่จะกลับมาหาหลังจากที่ลูกตื่นนอน”

·   พูดถึงกิจกรรมที่ทำในตอนเช้าระหว่างมื้อเที่ยง “พวกเราเล่นในบ้านแล้วก็ออกไปเล่นข้างนอก”

 

ช่วงอายุ 3-4 ปี “วันนี้เป็นวันเกิดของฉัน” โดย Susan A. Miller, EdD

ใช่แล้ว ฉันตื่นเต้นสุดๆ วันเกิดของ Sapphire วัย 4 ปี ที่ตะโกนออกมาให้คุณครูได้ยิน “วันนี้เป็นวันพิเศษ! เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของหนู พวกเราจะได้กินคัพเค้กน้ำตาลไอซิ่งตอนเวลาพัก หลังจากเข้ากลุ่มทำงานกับเพื่อนเสร็จ คุณครูรู้หรือเปล่าว่าวันเกิดของ Nana มาตามหลังวันเกิดหนู แล้วอาทิตย์หน้าพวกเราจะไปงานวันเกิดของเธอที่บ้าน”

             สำหรับเด็กวัยก่อนเรียนยังจะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางเหมือนตัวอย่าง Sapphire ปัจจุบันเธออยู่ที่ไหน และการไปให้ทันเวลานั้นสำคัญต่อเธอมาก เด็กอายุ 3 – 4 ปีนั้นต้องการประสบการณ์ที่มีความหมายมากในเรื่องของการรับรู้เวลา เช่น นิทานก่อนนอน ที่จะช่วยให้เข้าใจชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเวลา สำหรับเด็กๆ การเข้าใจเรื่องเวลาจะเริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเช่นวันเกิดของ Sapphire หรือการล้างมือก่อนรับประทานอาหารกลางวัน โดยที่ทำตามความเคยชินหรือกิจวัตรประจำวัน และจะทำให้เด็กๆได้ตระหนักในเรื่องของเวลามากขึ้นว่าปัจจุบัน อดีตและอนาคต

ปรับตารางเวลาปกติ

             เด็กวัยก่อนเรียนล้วนต้องการสร้างประสบการณ์เหล่านั้น เพราะเวลาเป็นเหมือนนามธรรมสำหรับเด็ก ซึ่งยากเกินกว่าจะอธิบาย อย่างเช่น Sapphire สามารถสังเกตสัญลักษณ์ของเวลาผ่านทางคัพเค้กที่สวยงามที่มาพร้อมกับเทียนวันเกิด ที่เป็นตัวแสดงให้เห็นว่าได้ผ่านไปแล้ว 1 ปี และเธอก็อายุเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี แต่เวลาที่แน่นอนยังไม่ปรากฏให้เห็น

 เด็กอายุ 3-4 ขวบ จะรู้สึกปลอดภัยถ้าได้ทำตามตารางเวลาเดิม เช่น แต่งตัว ทานอาหารเช้า ขี่จักรยานไปโรงเรียน พูดคุยกับเพื่อน และทำกิจกรรมในยามว่าง  ผู้ใหญ่สามารถยืดตารางกิจกรรมของเด็กๆได้ อย่างไรก็ตามมันอาจจะเริ่มสับสนนิดหน่อยสำหรับเด็กเล็กถ้าคำสั่งในเหตุการณ์นั้นๆเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ Jake อายุ 4 ขวบถาม “เมื่อไรเราจะได้ออกไปเล่นข้างนอกครับ?” ให้รู้ไว้เลยว่ากิจวัตรประจำวันของเขาจะช่วยให้เขาเข้าใจคุณครูเมื่อตอบมาว่า “หลังจากนอนกลางวัน”

การสังเกตก่อนและหลัง

ก่อนและหลังความเข้าใจเรื่องเวลาของเด็กวัยก่อนเรียน อย่างกรณีของ Sapphire รู้ว่าเหตุการณ์การเข้ากลุ่มกับเพื่อนจะเกิดก่อนเวลาพักกินขนม เธอยังรู้อีกว่าอาทิตย์ถัดไปจะเป็นวันเกิดของ Nana คุณครูค้นพบว่าชาร์ทเหตุการณ์ช่วยอย่างมากในการทำความเข้าใจ มันช่วยกระตุ้นเวลาของเหตุการณ์สำหรับเด็ก

เมื่อ Sapphire ประกาศไปแล้วว่าจะไปงานวันเกิดของ Nana อาทิตย์หน้า เธอสามารถระบุเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและวางแผนที่จะไปงานวันเกิดของเพื่อน การนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต Emily อายุ 3 ปี อธิบายถึงเพื่อนของเธอ “เมื่อวานเธอขี่สามล้อสีแดง แต่ฉันมีสีน้ำเงิน” ถึงแม้ว่าเด็กอายุ 3-4 ปี จะมีหน้าที่ในการอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและรู้จักคำเฉพาะที่จะอธิบาย เช่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หรือเมื่อสองสามวันก่อน พวกเขาไม่สามารถใช้ช่วงเวลาได้ถูกต้องเสมอ เช่น คำว่า”เมื่อวาน”ของ Emily อาจจะหมายถึง เมื่อสองวันก่อน

เข้าใจอุปกรณ์ที่ใช้บอกเวลา

ถึงแม้ว่าเด็กวัยก่อนเรียนจะไม่สามารถอ่านตัวบอกเวลาได้ เช่น นาฬิกา หรือปฏิทิน จนกว่าพวกเขาจะโตขึ้น พวกเขารู้ว่านี่คือตัวช่วยบอกว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว Allison อายุ 3 ปี ชอบที่จะแกล้งอ่านนาฬิกาบนข้อมือและใช้คำศัพท์ที่บอกเวลาจากนาฬิกาวิเศษของเธอ “คุณพ่อมาช้าวันนี้” “อีก 6 นาที” หรือ “10 โมงเช้า” เด็กอายุ 4 ปีบางคนเริ่มที่จะเข้าใจว่าเมื่อใดที่มือทั้ง 2 ข้างยกขึ้นตรง นั่นหมายความว่าเป็นเวลาของอาหารกลางวัน

แสดงเวลาโดยคำศัพท์ต่างๆ

เด็กวัยก่อนเรียนที่กำลังพัฒนาเรื่องการรับรู้เวลา พวกเขารู้สึกสบายและเฉลียวฉลาดที่จะใช้คำศัพท์มากมายที่จะบอกเวลาในอดีต ปัจจุบันและอนาคต โดย Ivan อายุ 4 ปี เขาภูมิในสุดๆที่จะชู 4 นิ้วขึ้นมาเพื่อที่จะบอกอายุเขาในตอนนี้ Sapphire สนุกสนานกับคำศัพท์ที่เกี่ยวกับวัน เช่น “วันนี้” “วันที่สุดแสนพิเศษของฉัน” “วันเกิดของฉัน” และรวมไปถึงตัวอย่างของเวลา เช่น “เวลาทำงานกลุ่มกับเพื่อน” “เวลาอาหารว่าง” Martha อายุ 4 ปี ใช้คำศัพท์เกี่ยวกับฤดูกาลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเธอ เช่น “เมื่อฤดูหนาวที่แล้ว เราสร้าง Snowman กันที่สนามเด็กเล่น” Jorie อายุ 4 ปี สามารถใช้คำศัพท์เกี่ยวกับในช่วงเทศกาลต่างๆได้ เช่น “ช่วงคริสต์มาส” “วันชาติของสหรัฐอเมริกา” ที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมที่เขาทำ เขาเล่าว่า “ปีนี้เขาจะแต่งตัวเป็นผีในช่วง Halloween”

และแน่นอนเด็กวัยก่อนเข้าเรียนมักจะเชื่อมโยงเรื่องราวอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไว้รอบตัวเอง Sara อายุ 3 ปี หัวเราะขณะที่กำลังเล่าให้เพื่อนฟังว่า “เมื่อตอนที่เธอเป็นเด็ก เธอใส่ผ้าอ้อม” หรือ เด็กอายุ 4 ปีที่กล้าหาญ Todd เล่าว่า “เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะเป็นคนขับเครื่องบิน Jet”

   คุณสามารถทำอะไรได้บ้าง

·   อ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการบอกเวลา เช่น หนังสือคลาสสิค “Good Night Moon” ที่จะช่วยให้เด็กเติมประโยคให้สมบูรณ์

·   ทำสมุดบันทึกเหตุการณ์ในห้องเรียน อาจจะวาดภาพหรือถ่ายภาพที่เรียงลำดับเหตุการณ์สำคัญที่สามารถมองเห็นเป็นรูปภาพไทม์ไลน์ (visual timeline) เพื่อนำมาพูดคุยกัน

ช่วงอายุ 5-6 ปี “ฉันจะไปพรุ่งนี้” โดย Ellen Booth Church

มันคือการประชุมพรุ่งนี้ และเด็กๆจะมารวมตัวกันสำหรับช่วงเวลาแห่งการแบ่งปัน รูปแบบเวลาสำหรับนักเรียนอนุบาลจะออกมาโดยคำพูดของพวกเขา เช่น เด็กชายที่สุดแสนจะตื่นเต้น Joshua พูดว่า “เรากำลังไปบ้านคุณย่าเมื่อวาน” หรือ Beth ถามว่า “ถึงเวลากลับบ้านได้หรือยังครับ” เกิดอะไรขึ้นกับคำพูดเหล่านี้

แนวคิดรูปแบบของเวลาอาจจะยากเกินไปสำหรับเด็กอายุ 5- 6 ปี ที่จะเข้าใจ เพราะมันเป็นนามธรรม การรับรู้เรื่องเวลาจะค่อยพัฒนาขึ้นเรื่อยๆตามลำดับโดยเรียนรู้ผ่านช่วงระยะเวลาของเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนที่เด็กๆเริ่มมีประสบการณ์บนโลกใบนี้ทั้งกับผู้คนและสิ่งต่างๆรอบตัว แนวคิดเรื่องเวลาจะเริ่มรวมกับชีวิตประจำวัน คำศัพท์ก็เช่นเดียวกัน

เชื่อมโยงเวลากับสถานการณ์

คำศัพท์ เมื่อวาน วันนี้ และพรุ่งนี้ จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเชื่อมโยงกับกิจกรรมที่เฉพาะเจาะจงหรือกิจกรรมที่ทำให้แนวความคิดเรื่องเวลาเป็นรูปธรรม ระหว่างการพัฒนาเด็กๆจะเรียนรู้ที่จะเข้าใจมากขึ้นและเข้าใจนามธรรมมากขึ้น พวกเขากำลังอยู่ในขั้นตอนของการเข้าใจนิยามของเวลาโดยสังเกตจากเหตุการณ์และสัญลักษณ์ หรือไม่ก็จะอาจจะเป็นเหตุการณ์ความทรงจำ เช่น งานเลี้ยงฉลอง หรือการไปเที่ยว หรือเคยชินกับกิจวัตรที่ทำในแต่ละวัน

การใช้ปฏิทิน

เด็กอนุบาลจะเรียนรู้เรื่องเวลาจากการสังเกตหรือการบันทึก มันคือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมถึงได้เป็นที่สนใจในกลุ่มของเด็กขณะนั้น ปัญหาก็คือบางครั้งคุณครูลืมที่จะเชื่อมโยงวันและเวลาให้เข้ากับสิ่งที่สังเกตได้หรือบันทึกได้ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเหมาะมากสำหรับการสังเกตหรือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ เพื่อให้รู้ว่าเกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน เช่น เด็กอายุ 5- 6ปี จำได้ว่าเมื่อวานอากาศสดใสและวันนี้มีเมฆมาก ดังนั้นพวกเขาสามารถคาดเดาสภาพอากาศของวันถัดไปได้ ปฏิทินสภาพอากาศหรือกราฟเป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับเด็กที่จะรู้เวลาว่า เมื่อวาน วันนี้และพรุ่งนี้

ค้นหาความหมายของเวลา

บางทีสิ่งที่น่าสับสนที่สุดคือรูปแบบของอดีต ปัจจุบัน อนาคต เหมือนที่คุณกำลังจินตนาการว่าคำเหล่านี้เป็นนามธรรมมากกว่าคำว่า เมื่อวาน วันนี้และพรุ่งนี้ เด็กอายุ 5-6 ปี เริ่มจะเข้าใจเรื่องเหล่านั้นที่ผู้ปกครองพวกเขาเคยทำกันใน “วันเก่าๆ” และอะไรที่ปู่ย่าของพวกเขาที่เคยทำไว้นานมากๆแล้ว เด็กๆก็ยังคงสับสนอยู่ ที่เห็นได้จาก Susan ที่เล่าให้คุณย่าฟังว่าเธอต้อง”ขี่ไดโนเสาร์ไปโรงเรียนเมื่อสมัยก่อนๆ” เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเธอเข้าใจว่าไดโนเสาร์มาจากอดีตและในเวลาเดียวกันก็ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหนหลังจากคุณย่า

เด็กอนุบาลสามารถที่จะเข้าใจและเริ่มที่จะรับรู้เวลามากขึ้นจากการสำรวจทั้งในอดีตและปัจจุบันที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง เช่น พูดคุยถึงวิธีการที่คนเดินทางไปมาในแต่ละสถานที่ เช่น ในอดีตอาจจะต้องขี่ม้าและในปัจจุบันอาจจะต้องขับรถหรือเดินทางโดยเครื่องบิน ลองถามเด็กๆดูก็ได้ว่าเดาได้ไหมว่าคนเราเคลื่อนย้ายไปในอนาคตได้หรือไม่

จัดโครงสร้างของวัน

แน่นอนว่าการนึกถึงที่ผ่านมาทั้งวันคือวิธีที่ง่ายที่สุด เด็กๆก็จะนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาทั้งวัน ความสามารถที่จะรับได้ของพวกเขาเกี่ยวกับเวลาจะมากขึ้น โดยที่จะเริ่มตระหนักว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นซ้ำในเวลาที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละวัน เด็กอนุบาลอยากจะรู้ว่าเวลาเท่าไรและเริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น เช่น เวลาที่ต้องไปโรงเรียนและเวลาที่ต้องกลับจากโรงเรียน ที่เกิดขึ้นในทุกๆวัน ทำภาพถ่าย หรือ Timeline สำหรับวันที่ต้องไปโรงเรียน ทำเครื่องหมายไว้ในแต่ละเหตุการณ์พร้อมรูปภาพบนนาฬิกาที่เขียนตัวเลขเอาไว้ คุณอาจจะให้อุปกรณ์ง่ายๆสำหรับเด็กๆที่ทำให้เข้าใจเรื่องเวลา

คุณสามารถทำอะไรได้บ้าง

·   เมื่อไรก็ตามที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ ให้ใช้ “ภาษาของเวลา” กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ โดยการเน้นคำ เช่น โดยเร็วที่สุด ทีหลัง แต่เช้า เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า ตอนเช้า ตอนกลางวันและตอนเย็น ชี้ให้เห็นประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อแสดงคำศัพท์ที่คุณใช้

·   โชว์ให้เด็กเห็นถึงวิธีทำ “บันทึกประจำวัน” หรือ “ไดอารี” เด็กๆอาจจะใช้ประดาษเปล่าทำเป็นหน้าแต่ตกแต่งเป็นหน้านาฬิกา สอนเด็กๆให้รู้จักการวาดเวลาบนนาฬิกาแล้วถามพวกเขาว่าต้องวาดอย่างไร วางตรงไหน หรือเขียนเกี่ยวกับชอบทำอะไรในเวลานั้นๆ ใส่แผ่นหน้ากระดาษแล้วก็เย็บเล่มทำเป็นหนังสือ

 

  

BrainFit รับสมัครน้องๆ อายุตั้งแต่ 3-18 ปี

 

 

รับคำปรึกษาจากเรา ได้แล้ววันนี้ ฟรี!

 02-656-9938 / 02-656-9915 / 091-774-3769

LINE@brainfit_th

 

แหล่งอ้างอิง : https://www.scholastic.com/teachers/articles/teaching-content/ages-stages-how-children-develop-sense-time/

 

Contact Us

If you would like to have your child attend our course, or you would simply like more information, please contact us today.

BrainFit Studio Thailand 2nd floor, Ploenchit Center,
Sukhumvit Soi 2, Bangkok 10110BTS Ploenchit Station Exit 4