เคล็ดไม่ลับ ที่จะทำให้ลูกรักหยุดสัมผัสใบหน้า (ช่วงโควิด)

 

เคล็ดไม่ลับ ที่จะทำให้ลูกรักหยุดสัมผัสใบหน้า (ช่วงโควิด)

 

ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการแบ่งปันคำแนะนำ สำหรับผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในวัยเด็กเล็ก 

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19

 

 

เมื่อจำนวนผู้ป่วยด้วยเชื้อไวรัส โควิด-19 จากทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนกำลังทำทุกทางเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตัวนี้ ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาให้ข้อมูลแล้วว่า วิธีที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อที่ควรทำก็คือ การหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสกับใบหน้า

 

มีวิธีการลดโอกาส หรือความถี่นการสัมผัสใบหน้าในแต่ละวัน นั่นก็คือการแก้ที่นิสัยของเรา ซึ่งถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นนิสัย นั่นก็หมายความว่ามันจะต้องเป็นเรื่องยากลำบากมากในการที่จะแก้ไขสิ่งนี้ และถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเราแล้ว ในเด็กเล็ก การจะแก้ไขนิสัยนี้ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปอีก

 

“มันเป็นเรื่องที่ยาก” Denise Cummins นักวิทยาศาสตร์ด้านปัญญาได้กล่าวไว้ เมื่อมีคนโพสต์ถามเธอว่า เธอมีคำแนะนำอะไรสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการกระตุ้นให้เด็ก ๆ อยู่นิ่ง ๆ ซึ่งเธอก็ได้ตอบกลับอีกว่า “การพยายามที่จะทำให้เด็ก ๆ อยู่นิ่งนั้น มักมีแต่คนไม่ฉลาดเท่านั้นที่ทำกัน” แต่ยังคงมีสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้ปกครองสามารถลองทำได้ เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ หยุดสัมผัสใบหน้าของพวกเขา และยังมีวิธีการที่จะทำให้พวกเขามีสุขภาพที่แข็งแรงในช่วงนี้ ด้วยเคล็ดลับจาก Cummins และผู้เชี่ยวชาญอีกสองคน 

 

 

หากต้องการรู้ว่ามันคืออะไร มาร่วมหาคำตอบเกี่ยวกับวิธีการเหล่านี้ได้ที่ด้านล่างนี้เลยค่ะ...

 

 

 ใช้การให้แรงเสริมทางบวก(Positive Reinforcement) 

เด็ก ๆ มีแนวโน้มที่จะตอบสนองหรือทำตามเมื่อได้รับแรงเสริมทางบวก มากกว่าการถูกต่อว่า หรือถูกลงโทษ

 

ผู้ปกครองต้องชื่นชมเด็กเมื่อเด็กสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ทำสิ่งที่ผู้ปกครองไม่โอเคได้” Paul DePompo ได้กล่าวไว้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการที่ผู้ปกครองสั่งให้พวกเขาหยุดทำ เช่นผู้ปกครองสามารถพูดว่า ดีมากเลยที่ลูกสามารถเก็บมือ หรือนำมือออกห่างจากใบหน้าได้ การใช้คำพูดในเชิงบวก และให้แรงเสริมทางบวกด้วยการชมเชยเด็ก ๆ จะช่วยทำให้เด็ก ๆ พยายามที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่เราบอกไป มากกว่าการสั่งให้พวกเขาหยุดทำ

 

ผู้ปกครองสามารถเพิ่มสิ่งจูงใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สติกเกอร์ ของเล่น หรือขนม เพื่อเป็นการให้รางวัล เมื่อเด็ก ๆ ไม่นำมือมาสัมผัสกับใบหน้าของพวกเขา เหมือนดังที่ DePompo ได้ตั้งข้อสังเกต และได้รับการยืนยันแล้วว่า การพูดด้วยคำพูดเชิงบวก และการให้แรงเสริมทางบวกอย่างอื่น เช่นให้รางวัลเป็นขนมนั้น สามารถช่วยให้เด็ก ๆ มีพฤติกรรมที่ดีขึ้นได้

 

“ โดยการที่คุณพูดว่า ‘แม่ชอบตำแหน่งการวางมือของลูกในตอนนี้นะ’เมื่อพวกเขาวางมือไว้ข้าง ๆ ตัวเอง หรือ ‘แม่ชอบนะที่ลูกไม่เอามือไปจับที่ใบหน้าของลูกเหมือนอย่างตอนนี้’ ” สิ่งนี้เองจะทำให้เด็ก ๆ เข้าใจถึงสิ่งที่พวกเขาไม่ควรทำ Sanam Hafeez นักจิตวิทยาในนิวยอร์กได้กล่าวเอาไว้

 

 

 

 ชี้ให้เห็นเมื่อพวกเขากำลังทำ 

 

ในขณะที่การให้แรงเสริมทางบวกเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยหยุดพฤติกรรมการเอามือไปสัมผัสใบหน้าของเด็ก ๆ แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการบอก หรือเตือนเด็ก ๆ เมื่อพวกเขาเผลอนำมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้า

 

“มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เด็ก ๆ หยุดสัมผัสใบหน้าของตัวเอง หรือสัมผัสใบหน้าของผู้อื่น เมื่อเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน แต่แบบฝึกหัดที่สามารถช่วยให้ผู้ใหญ่หยุดสัมผัสใบหน้าตัวเองได้ ย่อมสามารถช่วยให้เด็ก ๆ หยุดสัมผัสใบหน้าของตัวเองได้ด้วยเช่นกัน โดยสิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือการมีสติ” Hafeez กล่าว

 

หากคุณเตือนเด็ก ๆ ในทุกครั้งที่เห็นว่าพวกเขาเอามือไปสัมผัสใบหน้า ในที่สุดมันจะกลายเป็นการตอบสนองตามเงื่อนไข เมื่อพวกเขาเริ่มที่จะเอามือไปแตะ หรือสัมผัสที่ใบหน้า พวกเขาจะรีบนำมือออกห่างจากใบหน้าได้เองในที่สุด” Hafeez กล่าวได้กล่าวเสริม

 

ผู้ปกครองยังสามารถทำให้เด็ก ๆ ตระหนักถึงเป้าหมายที่จะลดนิสัยนี้ โดยการสร้างสถานการณ์จำลอง ที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่เด็ก ๆ ได้ทำ และให้เด็ก ๆ ได้พูดคุยและคิดวิธีการที่จะทำให้พวกเขาสัมผัสใบหน้าของตัวเองลดลง ด้วยตัวเอง และให้พวกเขากำหนดรางวัลที่พวกเขาจะได้รับ หากสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ สิ่งนี้เองจะช่วยกระตุ้น และเสริมให้เด็ก ๆ พยายามที่จะหยุดพฤติกรรมการนำมือไปสัมผัสหน้าตัวเองได้มากขึ้น

 

 

 

 หาอุปกรณ์บางอย่างให้เด็ก ๆ จับ หรือสัมผัส 

 

ในกรณีที่เด็ก ๆ อยู่กับผู้ปกครอง พวกเขาอาจจะมีการเผลอเอามือไปจับที่หน้าของผู้ที่อยู่ด้วย ดังนั้นเพื่อลดโอกาสในการเกิดเหตุการณ์นี้ เราจึงควรหาอุปกรณ์บางอย่างมาให้พวกเขาจับแทน

 

ฉันขอแนะนำให้พวกคุณมอบสิ่งของที่พวกเขาจะสามารถถือเล่นได้ เพื่อป้องกันการเอามือมาจับเล่นที่ใบหน้าของคนอื่น หรือตัวเอง” Cummins กล่าว “การแทนที่พฤติกรรมเดิมด้วยพฤติกรรมอื่นที่พึงประสงค์กว่านั้น ดีกว่าการที่ขอให้เด็ก ๆ เลิก หรือหยุดทำพฤติกรรมนั้นไปเลย เพราะว่าการที่จะยับยั้งชั่งใจ ไม่ให้ทำสิ่งที่ต้องการได้นั้นจะต้องอาศัยการทำงานของ prefrontal cortex (เยื้อหุ้มสมองส่วนหน้า) ซึ่งสมองส่วนนี้ในเด็กจะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จนกระทั่งเรามีอายุได้ 25 ปีจึงจะเติบโตอย่างสมบูรณ์

 

วิธีการอื่น ๆ ที่ผู้ปกครองจะสามารถนำไปใช้เพื่อแก้ไขพฤติกรรมการเอามือสัมผัสใบหน้าของเด็ก ๆ ได้นั้นคือ หาถุงมือที่มีผิวสัมผัสที่ไม่ค่อยดีนักมาสวมให้เด็ก ๆ เพราะเมื่อพวกเข้านำมือที่สวมถุงมือนี้ไปสัมผัสใบหน้า จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่ชอบ และสิ่งนี้เองจะช่วยลดการนำมือมาสัมผัสใบหน้าในเด็กได้ หรือถ้าหากว่าเด็ก ๆ ชอบเอานิ้วมือเข้าปาก วิธีการที่จะช่วยแก้ไขพฤติกรรมนี้สามารถทำได้โดยการ นำน้ำยารสชาติไม่ดี และไม่เป็นอันตรายต่อเด็กมาทาไว้บริเวณนิ้วมือของเด็ก เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดพฤติกรรมการเอานิ้วเข้าปากของพวกเขาได้ไม่ยากแล้ว

 

 

 

 อธิบายว่าเชื้อโรคคืออะไร? 

 

แม้ในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 3 ปี คุณก็สามารถอธิบายให้เด็ก ๆ เข้าใจเกี่ยวกับเชื้อโรคได้ ซึ่งหัวข้อที่คุณควรอธิบายจะเป็นในเรื่องของ เชื้อโรคคืออะไร มันแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง หรือจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งได้อย่างไร การนำมือมาสัมผัสใบหน้าจะทำให้เชื้อโรคเข้ามาสู่ร่างกายของเราได้อย่างไร แล้วเวลาที่เราไม่สบายเราควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปยังผู้อื่น และควรแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความสำคัญของการนำเอาข้อพับบริเวณศอกมาบังขณะไอ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค” Hafeez กล่าว

 

จริง ๆ แล้วมีวิธีการ และเกมสนุก ๆ อยู่อีกมากมาย ที่จะสามารถใช้สอนให้เด็ก ๆ แต่ละช่วงวัย เข้าใจเกี่ยวกับเชื้อโรคได้ คุณสามารถไปค้นหาวิธีการ และเกมสนุก ๆ ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ

 

 

 

 เน้นที่การล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ 

 

ท้ายที่สุดนี้โปรดจำไว้ว่า บุตรหลานของคุณยังเป็นเด็กอยู่ ดังนั้นอย่าเครียด หรือวิตกกังวลจนเกินไปหากว่าพวกเขา ไม่สามารถควบคุมมือตัวเอง ไม่ให้สัมผัสใบหน้าได้ในบางครั้ง

 

“เด็กเล็กนั้นจะชอบสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว และชอบนำสิ่งของใส่ปาก” Mark Reinecke ผู้อำนวยการคลินิก และนักจิตวิทยาคลินิกอาวุโสที่สถาบัน Child Mind กล่าว เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมไม่ให้เด็ก ๆ นำมือมาสัมผัสใบหน้าได้ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราจะสามารถทำได้ก็คือการสร้างให้เด็ก ๆ มีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพเพิ่มเข้ามา

 

สิ่งที่เราควรทำมีแค่เพียงการกระตุ้นให้พวกเขาล้างมือบ่อย ๆ และล้างมือเป็นประจำ” Reinecke อธิบายว่าสิ่งนี้เราสามารถทำได้โดยการ “กดน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือเจลล้างมือใส่มือเด็ก ๆ เป็นประจำ เมื่อพวกเขานำมือไปสัมผัสสิ่งต่าง ๆ และส่งกระดาษาทิชชู่ให้พวกเขา เมื่อพวกเขามีการไอ จาม หรือมีน้ำมูกไหล”

 

สอนวิธีการล้างมือที่ถูกต้องให้กับเด็ก ๆ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งพื้นฐานโดยทั่วไปที่ผู้ปกครองควรทำ ถึงแม้ไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ก็ตาม ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ปกครองยังสามารถช่วยส่งเสริมให้เด็ก ๆ มีสุขภาพที่ดีได้โดยการให้เด็ก ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ และให้เด็ก ๆ ได้รับวิตามินที่เพียงพอ หากมีคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้เด็กทานวิตามินเสริม ส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกาย และนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลาย

 

 

และนี้ก็คือ "เคล็ดไม่ลับ" ดี ๆ ที่เราได้นำมาฝากทุกคนกันในวันนี้ อย่าลืมนำเอาวิธีการที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปใช้กันเยอะ ๆ นะคะ และที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างเลยก็คือ อย่าลืมหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อสุขภาพ และสุขอนามัยที่ดีของตัวคุณ และคนที่คุณรัก  เพราะหากเรามีสุขภาพ และสุขอนามัยที่ดีแล้ว สิ่งนี้จะช่วยเป็นปราการด่านสำคัญที่จะป้องกันคุณ และคนที่คุณรัก จากเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ นั่นเองค่ะ

 

 

 

และถ้าช่วงนี้คุณ หรือบุตรหลานของคุณ กำลังรู้สึกเบื่อที่จะต้องอยู่บ้านเฉย ๆ เป็นเวลานาน และกำลังมองหากิจกรรมที่จะทำในช่วงเวลานี้อยู่ ทางสถาบัน BrainFit ขอนำเสนอคอร์สเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางภาษาอังกฤษที่มีชื่อว่า Reading Assistant Plus® และ Fast ForWord® ให้กับคุณ

 

ถ้าอยากรู้ว่าทั้งสองโปรแกรมเป็นอย่างไร และสามารถช่วยพัฒนาทักษะทางด้านภาษาอังกฤษของคุณได้อย่างไร สามารถคลิกที่ข้อความด้านล่างเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยค่ะ

 

 

Reading Assistant Plus®

Fast ForWord®

 

-----------------------------------------

 

BrainFit รับสมัครน้องๆ อายุตั้งแต่ 3-18 ปี

รับคำปรึกษาจากเรา ได้แล้ววันนี้ ฟรี!

ที่ 02-656-9938 / 02-656-9915 / 091-774-3769

LINE@brainfit_th

 

 

 




 

อ้างอิง: www.huffpost.com

 

Contact Us

If you would like to have your child attend our course, or you would simply like more information, please contact us today.

BrainFit Studio Thailand 2nd floor, Ploenchit Center,
Sukhumvit Soi 2, Bangkok 10110BTS Ploenchit Station Exit 4