เรียนพิเศษ กับ ฝึกสมอง เลือกแบบไหนให้ลูกเรียนเก่ง

เรียนพิเศษ กับ ฝึกสมอง เลือกแบบไหนให้ลูกเรียนเก่ง

 

ทำอย่างไรดีนะ? อยากให้ลูกเรียนเก่งขึ้น มีผลการเรียนดีขึ้น 

 

เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่หลายคนก็คงพาลูกไป เรียนพิเศษ เพื่อเสริมสร้างให้ทักษะและความสามารถในรายวิชานั้น ๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ดนตรี กีฬา ฯลฯ เพราะการ เรียนพิเศษ เป็นเหมือนทางลัดที่จะช่วยให้ลูกเรียนเก่งขึ้น ด้วยที่คุณครูจะสอนเทคนิคที่ช่วยให้คิด วิเคราะห์ หรือค้นหาคำตอบได้รวดเร็วมากขึ้นมา

 

อีกทั้งประกอบกับการแข่งขันด้านการเรียนในปัจจุบันที่สูง ทำให้เด็ก ๆ ต้องขยันและตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะผลการเรียนที่ดีมีผลต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่หลายคนจึงเลือกการพาลูกไป เรียนพิเศษ เป็นตัวช่วยในการเสริมทักษะในรายวิชาต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง 

 

แต่เอ๊ะ? คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตไหมว่า

ในบางวิชาไม่ว่าลูกจะเรียนเท่าไหร่ เขากลับยิ่งไม่ชอบ ยิ่งเรียนก็ยิ่งทำไม่ได้ เป็นเพราะอะไรกันนะ?

 


BrainFit มองว่า หากสมองของเด็ก ๆ มีความแข็งแรง พร้อมที่จะเรียนรู้ ไม่ว่าสิ่งที่จะเรียนนั้นยากแค่ไหน ลูกก็สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจกับมันได้อย่างรวดเร็ว แต่สาเหตุที่ลูกยังทำไม่ได้ ยิ่งทำยิ่งรู้สึกยาก เป็นเพราะว่าทักษะสมองในด้านต่าง ๆ ยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้อย่างเต็มที่ ทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่อยู่ตรงหน้าได้นาน

 

เพราะเหตุนี้เอง ไม่ว่าจะเรียนพิเศษเท่าไหร่ มันก็ไม่ช่วยให้ลูกของเราเรียนเก่งในวิชานั้น ๆ ได้สักที

ดังนั้นเรามาดูกันก่อนเลยว่า สมองแต่ละด้านทำงานอย่างไรบ้าง!

 

 

เรียนพิเศษ กับ ฝึกสมอง


 

ทักษะด้านการฟัง (Auditory Processing) 
      หากสมองของเด็กทำการวิเคราะห์เสียงช้าเกินไป จะส่งผลทำให้เด็กไม่สามารถแยกความแตกต่างของ เสียงสองเสียงที่ได้ยินและอาจฟังเป็นเสียงเดียวกัน เกิดความสับสน ไม่เข้าใจ หรือฟังไม่ทันเมื่อต้องฟังคำสั่งจากคุณครู ทำให้เด็กอาจหันเหไปทำอย่างอื่นได้ง่าย ผู้ใหญ่จึงมองว่าเด็กขาดสมาธินั่นเอง
  

ทักษะด้านการมอง (Visual Processing)
           หากเด็กมีการพัฒนาการที่อ่อนกว่าวัยในด้านนี้ จะไม่สามารถจดจำรายละเอียดในสิ่งที่มองเห็นได้ ส่งผลให้เด็กขาดความสนใจกับสิ่งที่กำลังเรียนรู้อยู่ตรงหน้า และเบี่ยงเบนไปทำอย่างอื่นที่ง่ายและเพลิดเพลินมากกว่า เช่น เล่นกับเพื่อน ชวนเพื่อนคุย นั่งเหม่อ หรือเดินออกจากห้อง เป็นต้น
 
ทักษะด้านการควบคุมการเคลื่อนไหวและประสาทสัมผัส (Sensory-Motor Processing)
      หากเด็กมีพัฒนาการด้านนี้ที่อ่อนกว่าวัย จะส่งผลให้เด็กต้องออกแรงควบคุมร่างกายเยอะกว่าเด็กที่มีพัฒนาการด้านนี้สมวัย ส่งผลให้เวลาที่จะต้องควบคุมร่างกายให้ตั้งตรง การทรงตัว หรือแม้กระทั่งการควบคุมกล้ามเนื้อมือเพื่อจับปากกา หรือดินสอ มีความยากลำบาก ถึงแม้จะออกแรงเยอะสักแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจประคอง หรือควบคุมกล้ามเนื้อเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้เด็กไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ขณะเรียนได้ มีอาการยุกยิกตลอดเวลา ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เด็กแสดงอาการไม่ใส่ใจในการเรียน ไม่ตั้งใจ และขาดสมาธิ
 

ทักษะด้านสมาธิ (Attention)
      ทักษะด้านสมาธิจะเกิดขึ้นหลังจากที่สมองด้านการฟัง การมอง และการเคลื่อนไหวแข็งแรงสมวัยขึ้นมา เมื่อสมองทั้ง 3 ด้านนี้แข็งแรงแล้ว เวลาที่เราเรียนรู้ในสิ่งใหม่ จะทำให้เราไม่ต้องดึงพลังสมองจากส่วนที่แข็งแรงกว่าไปช่วยสมองด้านที่อ่อนแอกว่า และเป็นเหตุให้สมองด้านนั้นทำงานได้มีประสิทธิภาพลดลง เมื่อสมองทุกด้านแข็งแรงพร้อมเรียนรู้จึงทำให้เด็กๆ มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เรียนได้ดีขึ้น พร้อมที่จะคิด พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง เรียนแล้วเข้าใจ สามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องออกแรงพยายามมากจนเกินไป
 
ทักษะด้านอารมณ์ และสังคม (Social - Emotion Skills)
      ความสามารถและทักษะการเข้าสังคม การเข้าใจ และควบคุมอารมณ์ สำหรับการเรียนรู้หรือการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กนั้น เป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะฝึกทักษะด้านอารมณ์ที่ดี จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจ เชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง และทำให้มีพลังเชิงบวกในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เด็กๆ กล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยลองทำมาก่อน เป็นทักษะพื้นฐานอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ
 
 
แล้วคุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยไหมว่า ในการเรียนหนังสือแต่ละครั้ง
 
ลูกของเราใช้สมองด้านไหนในการทำงานบ้าง?

BrainFit ขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ตอนลูกกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง 
 
 
  • อย่างแรกที่สมองเริ่มทำงานคือ ส่วนที่ควบคุมการมองเห็น เพราะตาต้องมองกระดาน จดจำรายละเอียดของตัวหนังสือให้ครบถ้วนผ่านการมอง 
  • อย่างที่สองสมองส่วนที่ควบคุมการฟัง หู ต้องคอยฟังคำสั่งจากคุณครู หรือบางครั้งฟังคำอธิบายเพิ่มเติม วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการฟังแล้วทำความเข้าใจ 
  • อย่างที่สามสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว มือต้องจับดินสอและคอยจดตามทั้งจากสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยิน สมองสั่งการให้ศีรษะและลำตัวตั้งตรงเพื่อท่านั่งที่เหมาะสม 
  • อย่างที่สี่สมองส่วนหน้าควบคุมด้านสมาธิ ลูกต้องจดจ่อกับงานตรงหน้า ไม่สนใจสิ่งเร้าที่อยู่รอบตัว เช่น เสียงเพื่อนคุยกัน หรือภาพที่คนกำลังเดินผ่านไปมา เป็นต้น 
 
   
เห็นได้ว่าเพียงแค่การนั่งเรียนในห้องลูกของเราก็ใช้สมองในการทำงานและควบคุมหลายด้านเลยทีเดียว
ลองนึกภาพดูว่า...
ถ้าสมองด้านใดด้านหนึ่งของลูกไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ จะเกิดอะไรขึ้น!? 
 

ยกตัวอย่างเช่น สมองส่วนการมองเห็นทำงานได้ไม่เต็มที่ การที่ลูกจะคัดลอกตัวหนังสือบนกระดานแต่ละครั้ง ลูกจะต้องใช้เวลาในการจดจำคำบนกระดานไปทีละคำ ต้องก้มเขียนและเงยหน้าดูกระดานหลายครั้ง พอคุณครูพูดอธิบาย สมองส่วนของการฟังก็เริ่มทำงาน ต้องฟังและทำความเข้าใจกับสิ่งที่ครูพูด แต่สมองส่วนการมองเห็นต้องใช้พลังงานมากในการจดจำคำบนกระดาน ทำให้ลูกไม่สามรถฟังไปพร้อม ๆ กับการคัดลอกตัวหนังสือบนกระดานได้ พอลูกจดไม่ทันอาจจะหันไปถามเพื่อนว่าเมื่อกี้ครูบอกว่าอะไร เมื่อการคุยกับเพื่อนเริ่มขึ้น อาจเป็นเรื่องยากสำหรับลูกที่จะกลับมาจดจ่อกับบทเรียนต่อไป ทำให้ลูกไม่เข้าใจบทเรียนในห้องไปในที่สุด 
 

เพราะเหตุนี้เอง BrainFit จึงมองว่าความพร้อมของสมองจึงเป็นสิ่งสำคัญ 
 

เพราะสมองก็เหมือนกับกล้ามเนื้อ หากเราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่างกายก็จะแข็งแรง ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือยกของ ก็สามารถทำได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย สมองก็เช่นกันหากได้รับการฝึกฝนจนแข็งแรง พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ลูกก็จะสามารถเรียนรู้สิ่งนั้นได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ดนตรี กีฬา ฯลฯ  ลูกก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและเต็มที่สิ่งนั้นมากยิ่งขึ้น

ที่ BrainFit เรามีหลักสูตรการฝึกสมองที่ผ่านการวิจัยและได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ฝึกสมองผ่านกิจกรรมที่ได้รับการคินค้นจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้งด้านกายภาพบำบัดกุมารเวชศาสตร์ ด้านประสาทวิทยาในเด็ก และด้านสมอง ทำให้ระหว่างการฝึกลูกจะไม่รู้ตัวเลยว่าสมองกำลังถูกฝึก แต่กลับรู้สึกเหมือนได้มาเล่นเกมและทำกิจกรรมสนุกสนานกับเพื่อน ๆ มากกว่า 
 
นอกจากนี้เรายังมีซอฟต์แวร์ที่ช่วยฝึกภาษาอังกฤษที่ถูกสร้างขึ้นจากนักประสาทวิทยาชั้นนำระดับโลกร่วมกับแพทย์ด้านเวชศาสตร์การพูดและภาษา ทำให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจได้ว่า การฝึกสมองของลูกจะได้รับการฝึกอย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด  
 

ดังนั้นเราจึงมองว่าหากสมองของลูกมีความพร้อมและแข็งแรงแล้วนั้น การเรียนรู้ในห้องเรียนก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หรือแม้แต่การเรียนพิเศษก็จะยิ่งทำให้ลูกเข้าใจบทเรียนมากขึ้นเช่นกัน 
 
 

อย่ารอช้า! มาฝึกสมองของลูกให้แข็งแรงไปด้วยกันเลย!
 

 

  ขอรับคำปรึกษาได้ฟรี  

 จันทร์ อังคาร พุธ และเสาร์อาทิตย์  โทร 02-656-9938  

  วันพฤหัสบดี-วันศุกร์   091-774-3769      

LINE: @brainfit_th

 

 

 

Contact Us

If you would like to have your child attend our course, or you would simply like more information, please contact us today.

BrainFit Studio Thailand 2nd floor, Ploenchit Center,
Sukhumvit Soi 2, Bangkok 10110BTS Ploenchit Station Exit 4